วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2556 วันเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กทม.คนที่ 16 ขณะผมพักผ่อนอยู่กับลูกชายวัย 8 ขวบที่บ้านพัก เพราะไม่ต้องเหนื่อยเหมือนทุกครั้งที่ต้องทำเอ็กซิทโพลล์ แต่ก็ได้มีโทรศัพท์จากสำนักข่าวต่างๆ ดังขึ้นตลอดเวลาตั้งแต่ช่วงเวลาบ่ายสองโมง เพื่อสอบถามข้อมูลผลโพลล์สำรวจคะแนนนิยมในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนวันเลือกตั้งที่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้จนกว่าจะถึงบ่ายสามโมงเพราะกฎหมายห้ามไว้
ผมบอกนักข่าวไปว่าผมไม่ได้ทำเอ็กซิทโพลล์ (No Exit Poll) และไม่ได้ทำเอ็นทรีโพลล์ (No Entry Poll) ผมทำโพลล์ก่อนวันเลือกตั้งในสัปดาห์สุดท้าย ที่เรียกว่า โพลล์ก่อนวันเลือกตั้ง (Yes to Pre-Election Poll) ซึ่งผมได้ส่งผลโพลล์ก่อนวันเลือกตั้งไปให้ทุกสำนักข่าว
ผมหมายความว่า เอแบคโพลล์ทำโพลล์ก่อนวันเลือกตั้งและได้นำเสนอข้อมูลความจริงที่ค้นพบไปครบถ้วนว่า เก็บตัวอย่างมา 5,713 ตัวอย่างหรือคิดเป็นร้อยละ 0.0011 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด โดยมีช่วงความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 5
ซึ่งตลอดเวลาเอแบคโพลล์บอกมาตลอดว่ามีค่าความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7 เพราะเราสุ่มตัวอย่างหลายชั้น (Multi-Stage Sampling) และได้รายงานข้อมูลที่ค้นพบในผลโพลล์ 3 ลักษณะคือ 1.ข้อมูลเป็นจุด (Estimated Points) 2.ข้อมูลเป็นช่วงความ คลาดเคลื่อน และ 3.ข้อมูลเป็นค่าคะแนนประมาณการ เป็นการรายงานผลทันทีหลังปิดหีบเลือกตั้ง
ข้อมูลความจริงที่ขาดหายจากการรับรู้ประชาชนคือ เอแบคโพลล์ทำโพลล์ "ก่อนวันเลือกตั้ง" ไม่ใช่ "เอ็นทรีโพลล์" และไม่ใช่ "เอ็กซิทโพลล์"
นอกจากนี้ เอแบคโพลล์ได้บอกทันทีที่ปิดหีบเลือกตั้งเวลา 15.00 น.ว่า จะมีประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งร้อยละ 66.4 และประชาชนออกมาใช้สิทธิจริงร้อยละ 63.9 ข้อมูลที่นำเสนอบวกลบความคลาดเคลื่อนร้อยละ 5 และร้อยละ 7 ไม่ถูกนำเสนอ ที่อาจทำให้เกิดการพลิกผันในผลการเลือกตั้งจริง เพราะขอบบนของช่วงคะแนนกับขอบล่างไปเกี่ยวกัน
และที่สำคัญที่สุดคือเอแบคโพลล์ระบุในผลสำรวจว่าผู้สมัครทั้งคู่มีโอกาสได้ล้านคะแนน
บางกระแสข่าวบอกว่า "ประชาชนหลอกโพลล์" ผมคิดว่า คงมีบ้างแต่ไม่ใช่ส่วนใหญ่ เพราะถ้าบอกว่าประชาชนคน กทม.หลอกก็ดูเหมือนว่าจะเป็นการกล่าวหาว่าร้ายคนไทยด้วยกันเอง เนื่องจากพนักงานเก็บข้อมูลเป็นนักศึกษาจากหลากหลายมหาวิทยาลัย ที่ถูกส่งออกไปหารายได้ค่าหน่วยกิตของพวกเขา โดยมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดเพื่อบริการสังคม
ซึ่งผมเชื่อว่า คน กทม.คงไม่ใจร้ายสร้างผลกรรมกับนักศึกษาเหล่านั้นอย่างแน่นอน และถ้าประชาชนคน กทม.หลอกโพลล์จริง เอแบคโพลล์คงบอกไม่ได้หลังปิดหีบเลือกตั้งทันทีว่า คนจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งร้อยละ 66.4 และคนมาใช้สิทธิร้อยละ 63.9 และคงประมาณการค่าคะแนนไม่ได้ว่า ผู้สมัครทั้ง 2 มีโอกาสได้หนึ่งล้านคะแนนด้วยกันทั้งคู่
ถ้าหากประชาชนได้รับทราบความจริงส่วนที่ขาดหายในวันนั้น ปัญหาความไม่เข้าใจกันเกี่ยวกับผลโพลล์ในหมู่ประชาชนน่าจะลดน้อยลงไปได้บ้าง
และถ้าสังคมได้ความจริงครบถ้วนเหมือนกับผลโพลล์ที่นำเสนอไปครบถ้วนก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงในการทำโพลล์ในสังคมไทย เพราะนักทำโพลล์ทำไปตามระเบียบวิธีวิจัยและไม่ไปรับอามิจสินจ้างใดๆ จากฝ่ายการเมือง ไม่อิงแอบผลประโยชน์ของนักการเมือง
แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ปฏิกริยาทางการเมืองต่อผลโพลล์ที่กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองจำนวนหนึ่งอาจส่งสัญญาณว่าให้เลิกทำโพลล์ไปเลยหรือไม่?
คำตอบส่วนตัวของผมคือ เราทำโพลล์เพื่อทำให้เสียงของคนทุกชนชั้นสำคัญในระบอบประชาธิปไตย ถ้าไม่มีโพลล์ก็จะทำให้ความจริงของคนทุกชนชั้นขาดหายไป
บางคนบอกว่าสื่อก็สามารถไปสัมภาษณ์ชาวบ้านและคนทุกชนชั้นมาได้ แต่การไปเลือกตัวอย่างชาวบ้านของสื่อ กับการเลือกตัวอย่างชาวบ้านของสำนักโพลล์แตกต่างกันเพราะสื่อเลือกชาวบ้านแบบเฉพาะเจาะจง แต่สำนักโพลล์เลือกชาวบ้านอาศัยหลักสถิติให้โอกาสความเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด
ยิ่งไปกว่านั้นคำตอบหรือความคิดเห็นของชาวบ้านที่บอกสื่อมาก็มาถูกตัดต่อในกองบรรณาธิการข่าวและผู้มีอำนาจในกองบรรณาธิการก็ตัดสินใจดึงบางประเด็นตัดบางประเด็นของคำสัมภาษณ์ให้มาสนับสนุน “ธีมของข่าว” ที่ตนเองต้องการจะสื่อสารไป
แต่สำนักโพลล์ทุกอย่างต้องตัดสินด้วยหลักสถิติและความเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่า อย่างไรก็ตามข้อมูลทั้ง 2 ส่วนสำคัญด้วยกันทั้งคู่ต่อสังคมประชาธิปไตย
ที่น่าเป็นห่วงอีกประการหนึ่งคือ ปรากฏการณ์ทางการเมืองในสังคม กทม.ที่ฝ่ายการเมืองทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย น่าจะนำผลการตัดสินใจด้วยล้านคะแนนทั้ง 2 ฝ่ายไปหาทางสร้างความปรองดอง ความรักความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูลให้เกิดขึ้นแทนการสร้างกระแสของสังคมแห่งการชนะคะคานกันเพราะถ้าทั้งสองฝ่ายถูกปั่นอารมณ์รุนแรงสุดท้ายบ้านเมืองจะไปไม่รอด
สุดท้าย ผมยังเชื่อมั่นในดุลพินิจของประชาชนคนไทยด้วยกันว่า ถ้าสาธารณชนได้รับความจริงที่ขาดหายกลับคืนมาครบถ้วน ผลที่คาดว่าจะได้รับคือ “อคติแห่งนคราของกรุงเทพมหานคร” ที่มีต่อกันในหมู่ประชาชนน่าจะลดน้อยลงไปได้