ในสภาวะที่ประชาชนต้องเผชิญกับปัญหาสินค้าราคาแพง เงินเฟ้อ ค่าของเงินเล็กลงตามเวลาเพราะต้องซื้อของในราคาที่แพงขึ้น ... แต่ดอกเบี้ยก็ยังอยู่ในระดับต่ำ และมีแนวโน้มที่จะต่ำลงอีกด้วย
ผมได้เห็นความต้องการของประชาชน ในการลงทุนที่ไม่อยากเสี่ยงมาก แต่ต้องการผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก โดยสังเกตความสนใจอย่างล้นหลามของนักลงทุนต่อตราสาร ที่เสี่ยงน้อย และมีรายได้สม่ำเสมอ เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ CPN คอมเมอร์เชียล โกรท (CPNCG) ซึ่ง บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) และ บล. ไทยพาณิชย์ ร่วมกันเป็นผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายในช่วงนี้ และมี บลจ. ไทยพาณิชย์ เป็นผู้บริหารกองทุน ก็รู้สึกดีใจ ที่นักลงทุนสนใจกันมากมายกว้างขวาง
ทั้งที่ กองทุนดังกล่าว น่าจะไม่ถึงกับหวือหวาเหมือน IPO ทั่วไป แต่นักลงทุนนิยม เพราะอยากได้ หลักทรัพย์ประเภทจ่ายปันผลสูง (High Dividend Stock) และ ผันผวนตามตลาดฯน้อย (Low Beta)
ข่าวดีคือ เรากำลังมีตราสารใหม่ ที่ปันผลดี และเสี่ยงน้อย ซึ่งพัฒนากันมาอย่างต่อเนื่องหลายปี คือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อใช้เป็นช่องทางในการระดมทุนจากประชาชน โดยใช้โครงการกิจการสร้างพื้นฐาน และเพื่อใช้ในการพัฒนากิจการโครงสร้างพื้นฐาน โดยสินทรัพย์ของกองทุน จะต้องเป็นกิจการประเภทโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่
(ก) ระบบขนส่งทางราง
(ข) ไฟฟ้า
(ค) ประปา
(ง) ถนน ทางพิเศษ หรือทางสัมปทาน
(จ) ท่าอากาศยานหรือสนามบิน
(ฉ) ท่าเรือน้ำลึก
(ช) โทรคมนาคม
(ซ) พลังงานทางเลือก
(ฌ) ระบบบริหารจัดการน้ำ หรือการชลประทาน
(ญ) ระบบป้องกันภัยธรรมชาติ ซึ่งรวมถึงระบบเตือนภัยและระบบจัดการเพื่อลดความรุนแรงของภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นด้วย
ซึ่งเชื่อว่า จะก่อให้เกิดประโยชน์มากมายหลายประการต่อหลายๆฝ่าย ดังนี้
1.1. ช่วยทำให้มีแหล่งระดมทุนมากขึ้น เพื่อพัฒนากิจการโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งแต่ละกิจการนั้น จะทำประโยชน์ให้กับประชาชนโดยส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นด้าน ไฟฟ้า ประปา พลังงาน ระบบขนส่ง ทางพิเศษ ฯลฯ ดังกล่าว
1.2. ช่วยให้ภาครัฐสามารถมีกำลังลงทุนด้านกิจการโครงสร้างพื้นฐานได้ โดยไม่ต้องก่อหนี้สาธารณะ
1.3. ช่วยให้ภาคเอกชน ซึ่งอาจมีสัญญาธุรกิจกับภาครัฐ เช่นกิจการผลิตไฟฟ้า ฯลฯ หรือ มีสัมปทานภาครัฐ สามารถระดมเงิน ทั้งจากโครงการปัจจุบัน เพื่อระดมทุนสำหรับพัฒนาโครงการใหม่ หรือ จากโครงการใหม่ โดยมีความคุ้มค่ามากขึ้น ทำให้พร้อมลงทุนกิจการโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มมากขึ้น และ เร็วขึ้น
1.4. ในด้านภาษีอากร แม้จะมีการให้ประโยชน์ด้านภาษีต่อกองทุน แต่ก็ด้วยเป็นกิจการประเภทโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาที่ต้นทุนต่ำลง ก็น่าจะช่วยลดภาระที่จะผ่านต่อไปยังประชาชนในฐานะผู้บริโภคได้ เช่น หากสามารถผลักดันให้กิจการโรงไฟฟ้า ตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ก่อนการประมูลไฟฟ้ารอบต่อไป อาจทำให้ผู้ประกอบการคำนวณภาระค่าไฟฟ้า โดยคำนึงถึงประโยชน์ภาษีที่ได้จากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานไปเลย ก็อาจทำให้ค่าไฟฟ้าต่ำลงได้ ดังนั้น จึงเป็นการลดภาษีที่จะเป็นประโยชน์กลับไปที่ประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง
2.1. เกิดทางเลือกใหม่ในการลงทุน ที่ความเสี่ยงน้อย เช่น กิจการผลิตไฟฟ้า มีความต้องการใช้สม่ำเสมอทุกวันสำหรับทุกคน ทุกวันนี้ เราไม่รับประทานข้าวได้ เพราะเราอาจรับประทาน ก๋วยเตี๋ยว หรือ ขนมปัง แต่เราไม่ใช้ไฟฟ้า คงยากมาก กิจการโครงสร้างพื้นฐานโดยทั่วไป จึงมีความเสี่ยงน้อย และการกำหนดผลตอบแทน ก็ต้องสอดคล้องกับความคาดหวังของผู้ลงทุนอยู่แล้ว
2.2. เนื่องจากกองทุนเปิดให้มีแบบ “หน่วยลงทุนคล้ายหนี้” และ “หน่วยลงทุนคล้ายทุน” ก็ทำให้มีทางเลือกที่กว้างขวางมากขึ้น นักลงทุนที่อยากเสี่ยงน้อยจริงๆ นอกจากกิจการโครงสร้างพื้นฐานจะเสี่ยงน้อยเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว การลงในทางเลือกที่เป็นหน่วยลงทุน “คล้ายหนี้” ก็จะยิ่งทำให้เสี่ยงน้อย เป็นคล้ายๆตราสารหนี้ รับผลตอบแทนที่ชัดเจน สอดคล้องกับระดับความน่าเชื่อถือและความเสี่ยง หรือ อาจเลือกแบบหน่วยลงทุน “คล้ายทุน” ก็จะได้ผลตอบแทนสูงขึ้น เสี่ยงมากขึ้น แต่ก็ยังน่าจะเสี่ยงน้อยเพราะเป็นกิจการโครงสร้างพื้นฐาน
3.1. ได้รับผลประโยชน์ภาษี ทำให้ระดมเงินได้ด้วยต้นทุนการเงินที่ต่ำลง ได้มูลค่ากิจการที่สูงขึ้น
3.2. สามารถรับรู้กำไรจากการขายโครงการปัจจุบันออกไปได้ ทำให้ฐานทุนแข็งแรงมากขึ้น
3.3. ช่วยเร่งการรับประโยชน์จากกิจการโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้เอกชนทำหน้าที่ “พัฒนา” (Developer) ได้เต็มที่ตามความถนัด ส่วนการเก็บเกี่ยวประโยชน์นั้น ก็เปิดให้ผู้ “ลงทุน” (Investors หรือ Holder) ค่อยๆรอเก็บเกี่ยวประโยชน์ในระยะยาว
ผมจะหาโอกาสเขียนตอนที่ 2 ต่อไป ในเรื่องปัญหา อุปสรรค และทางแก้ไขครับ
ตราสารที่เป็นประโยชน์เช่นนี้ น่าจะร่วมกันผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ ดังที่รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนอย่างชัดเจน เพื่อจะได้มีส่วนสนับสนุนกิจการโครงสร้างพื้นฐานได้โดยเร็ว เพื่อประโยชน์สำหรับคนไทยทุกคนครับ