เปิด พ.ร.ฎ.ว่าด้วยการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ฉบับเต็ม
"...เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๓๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ บัญญัติว่า องค์ประกอบและจำนวนกรรมการในคณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ วิธีการสรรหา กำหนดเวลาในการสรรหา จำนวนบุคคลที่จะต้องสรรหา และการอื่นที่จำเป็น ให้เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา.."
ในช่วงค่ำ วันที่ 31 ก.ค. 57 ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๕๗ ขึ้นมาทำหน้าที่ศึกษาและเสนอแนะเพื่อให้เกิดการปฏิรูปในด้านต่างๆ ได้แก่ การเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม การปกครองท้องถิ่น การศึกษา เศรษฐกิจ พลังงาน สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม สื่อสารมวลชน สังคม และอื่นๆ โดยให้มีสมาชิกจำนวน 250 คน จากสาขาอาชีพต่างๆ
โดยพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๕๗
ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่าโดยที่เป็นการสมควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๒ มาตรา ๓๐ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๗”
มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชกฤษฎีกานี้
“คณะกรรมการสรรหา” หมายความว่า คณะกรรมการสรรหาตามมาตรา ๔
“คณะกรรมการสรรหาประจำจังหวัด” หมายความรวมถึงคณะกรรมการสรรหาประจำ
กรุงเทพมหานครด้วย
“จังหวัด” หมายความรวมถึงกรุงเทพมหานครด้วย
มาตรา ๔ ให้มีคณะกรรมการสรรหาทำหน้าที่สรรหาบุคคลด้านต่าง ๆ เพื่อเข้ารับการคัดเลือกเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ดังต่อไปนี้
(๑) คณะกรรมการสรรหาด้านการเมือง
หน้า ๓
เล่ม ๑๓๑ ตอนที่ ๕๙ ก ราชกิจจานุเบกษา ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗
(๒) คณะกรรมการสรรหาด้านการบริหารราชการแผ่นดิน
(๓) คณะกรรมการสรรหาด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
(๔) คณะกรรมการสรรหาด้านการปกครองท้องถิ่น
(๕) คณะกรรมการสรรหาด้านการศึกษา
(๖) คณะกรรมการสรรหาด้านเศรษฐกิจ
(๗) คณะกรรมการสรรหาด้านพลังงาน
(๘) คณะกรรมการสรรหาด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม
(๙) คณะกรรมการสรรหาด้านสื่อสารมวลชน
(๑๐) คณะกรรมการสรรหาด้านสังคม
(๑๑) คณะกรรมการสรรหาด้านอื่น ๆ
(๑๒) คณะกรรมการสรรหาประจำจังหวัด จังหวัดละหนึ่งคณะ
มาตรา ๕ ให้คณะกรรมการสรรหาตามมาตรา ๔ (๑) ถึง (๑๑) แต่ละคณะประกอบด้วยกรรมการสรรหาจำนวนเจ็ดคนซึ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้และประสบการณ์เป็นที่ยอมรับในด้านที่ได้รับการแต่งตั้ง ทำหน้าที่สรรหาบุคคลเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อคัดเลือกเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติบุคคลใดจะเป็นกรรมการสรรหาเกินหนึ่งคณะมิได้ให้กรรมการสรรหาตามวรรคหนึ่งประชุมเพื่อเลือกกรรมการสรรหาคนหนึ่งเป็นประธานกรรมการสรรหาให้ประธานกรรมการสรรหาแต่งตั้งเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งคนหนึ่งเป็นเลขานุการคณะกรรมการสรรหาให้นำความในวรรคห้าและวรรคแปดของมาตรา ๖ มาใช้บังคับแก่คณะกรรมการสรรหาตามวรรคหนึ่งโดยอนุโลม
มาตรา ๖ ให้คณะกรรมการสรรหาประจำจังหวัดแต่ละจังหวัดนอกจากกรุงเทพมหานคร
ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดผู้ซึ่งได้รับเลือกเป็นผู้แทนสภาองค์กรชุมชนตำบลในระดับจังหวัดของจังหวัดนั้นครั้งล่าสุด และประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด เป็นกรรมการสรรหาในจังหวัดใดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดด้วยให้กรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเลือกกันเองเพื่อให้ได้คนหนึ่งเป็นกรรมการสรรหาแทนประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดในจังหวัดใดมีผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดหลายคน ให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัด
ซึ่งมีอาวุโสสูงสุดเป็นกรรมการสรรหาให้คณะกรรมการสรรหาประจำกรุงเทพมหานคร
ประกอบด้วย ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง ปลัดกรุงเทพมหานคร ผู้ซึ่งได้รับเลือกเป็นผู้แทนสภาองค์กรชุมชนเขตในระดับจังหวัดของกรุงเทพมหานครครั้งล่าสุด และประธานกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร เป็นกรรมการสรรหา
กรรมการสรรหาตามวรรคหนึ่งและวรรคสี่จะแต่งตั้งหรือมอบหมายให้บุคคลอื่นทำการแทนมิได้ผู้ดำรงตำแหน่งตามวรรคหนึ่งและวรรคสี่ให้หมายความรวมถึงผู้รักษาราชการแทนผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวด้วยให้กรรมการสรรหาประจำจังหวัดตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสี่เลือกกรรมการสรรหาประจำจังหวัดคนหนึ่งเป็นประธานกรรมการสรรหาประจำจังหวัดของคณะกรรมการสรรหาประจำจังหวัดนั้นในกรณีที่ไม่มีกรรมการสรรหาประจำจังหวัดในตำแหน่งใด หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้คณะกรรมการสรรหาประจำจังหวัดประกอบด้วยกรรมการสรรหาประจำจังหวัดเท่าที่มีอยู่จนกว่าหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะแต่งตั้งบุคคลที่เห็นสมควรให้เป็นกรรมการสรรหาประจำจังหวัดแทนให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเป็นเลขานุการคณะกรรมการสรรหาประจำจังหวัด
มาตรา ๗ วิธีการประชุมและการลงมติของคณะกรรมการสรรหาให้เป็นไปตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการสรรหาแต่ละคณะกำหนด
มาตรา ๘ ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งรับผิดชอบงานเลขานุการและงานธุรการรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสรรหาและของคณะกรรมการสรรหา เพื่อการนี้ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจออกระเบียบเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกานี้ แต่ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชกฤษฎีกานี้ให้กรรมการสรรหาได้รับค่าตอบแทนการประชุมครั้งละสองพันบาท และให้กรรมการสรรหาซึ่งเป็นผู้แทนสภาองค์กรชุมชนได้รับค่าพาหนะเหมาจ่ายอีกคนละสามพันบาท
มาตรา ๙ ให้คณะกรรมการสรรหาตามมาตรา ๔ (๑) ถึง (๑๑) สรรหาบุคคลซึ่งสมควรได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการคัดเลือกเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติคณะละไม่เกินห้าสิบคน แต่ต้องไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของรายชื่อที่ได้รับมาตาม
มาตรา ๑๐ ในด้านนั้น ๆให้คณะกรรมการสรรหาประจำจังหวัดตามมาตรา ๔ (๑๒) สรรหาบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการคัดเลือกเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติจากบุคคลซึ่งมีภูมิลำเนาในจังหวัดนั้นจังหวัดละห้าคนการสรรหาตามมาตรานี้ ให้คำนึงถึงบุคคลซึ่งมีความรู้ความสามารถด้านต่าง ๆ จากภาครัฐภาคเอกชน ภาคสังคม ภาควิชาชีพ ภาควิชาการ และภาคอื่น ความเท่าเทียมกันทางเพศ และการให้โอกาสแก่ผู้ด้อยโอกาส
มาตรา ๑๐ ในการสรรหาตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการสรรหาพิจารณาบุคคลจากชื่อที่เสนอโดยนิติบุคคลซึ่งไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรมาแบ่งปันกันที่อยู่ในภาคต่าง ๆตามมาตรา ๙ วรรคสาม โดยแต่ละนิติบุคคลเสนอได้ไม่เกินสองชื่อให้นิติบุคคลที่ประสงค์จะเสนอชื่อบุคคลตามวรรคหนึ่ง เสนอชื่อต่อหน่วยงานที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด ภายในยี่สิบวันนับแต่วันที่มีประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาตามมาตรา ๔ (๑) ถึง (๑๑)
มาตรา ๑๑ ในการเสนอชื่อบุคคลของนิติบุคคลตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) ส่วนราชการ ให้เสนอชื่อตามมติของ อ.ก.พ. กระทรวง หรือ อ.ก.พ. กรม แล้วแต่กรณี
(๒) รัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชน ให้เสนอชื่อตามมติของคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจหรือองค์การมหาชน
(๓) หน่วยงานอื่นของรัฐที่มีคณะกรรมการเป็นผู้กำกับดูแลหรือบริหารงาน ให้เสนอชื่อตามมติของคณะกรรมการดังกล่าว ในกรณีที่ไม่มีคณะกรรมการเป็นผู้กำกับดูแลหรือบริหารงาน ให้หัวหน้าหน่วยงานเป็นผู้เสนอชื่อ
(๔) นิติบุคคลที่มีลักษณะเป็นสมาคม มูลนิธิ หรือสภา ให้เสนอชื่อตามมติของคณะกรรมการสมาคมหรือมูลนิธิ หรือคณะกรรมการของสภา
(๕) นิติบุคคลอื่นที่มีคณะกรรมการเป็นผู้กำกับดูแลหรือบริหารงาน ให้เสนอชื่อตามมติของคณะกรรมการของนิติบุคคลนั้น
(๖) สถาบันการศึกษา ให้เสนอชื่อตามมติของสภาหรือคณะกรรมการสถาบัน
(๗) นิติบุคคลใดไม่มีคณะกรรมการเป็นผู้กำกับดูแลหรือบริหารงาน ให้ผู้มีอำนาจทำการแทนนิติบุคคลนั้นเป็นผู้เสนอชื่อ
มาตรา ๑๒ ให้นิติบุคคลตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง เสนอชื่อตามแบบที่สำ นักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด และต้องแนบเอกสารและหลักฐานดังต่อไปนี้ด้วย
(๑) สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือสำเนาบัตรประจำตัวอื่น
ของบุคคลซึ่งได้รับการเสนอชื่อที่ทางราชการหรือหน่วยงานของรัฐออกให้
(๒) เอกสารที่บุคคลซึ่งได้รับการเสนอชื่อแสดงความประสงค์ว่าจะเข้ารับการสรรหาในด้านใด
ด้านหนึ่งตามมาตรา ๔
(๓) หนังสือยินยอมให้เสนอชื่อ ทั้งนี้ บุคคลซึ่งได้รับการเสนอชื่อจะทำหนังสือยินยอมให้มี
การเสนอชื่อเกินหนึ่งฉบับมิได้
(๔) คำรับรองของบุคคลซึ่งได้รับการเสนอชื่อว่าตนมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่
รัฐธรรมนูญกำหนด
เอกสารและหลักฐานตามวรรคหนึ่ง ให้บุคคลซึ่งได้รับการเสนอชื่อลงลายมือชื่อเพื่อรับรอง
ความถูกต้องด้วยแบบการเสนอชื่อที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดตามวรรคหนึ่ง อย่างน้อยต้องมี
รายการที่กำหนดให้ผู้เสนอต้องระบุถึงความรู้ความสามารถอันเป็นที่ประจักษ์ของบุคคลซึ่งได้รับ
การเสนอชื่อด้วย
มาตรา ๑๓ ให้เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือผู้ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งมอบหมาย ตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลซึ่งได้รับการเสนอชื่อ รวมทั้งตรวจสอบว่าการเสนอชื่อเป็นไปโดยชอบด้วยพระราชกฤษฎีกานี้หรือไม่ แล้วส่งให้คณะกรรมการสรรหาภายในสิบวันนับแต่วันที่ครบกำหนดเวลาตามมาตรา ๑๐ วรรคสอง เพื่อดำเนินการต่อไป
มาตรา ๑๔ ให้คณะกรรมการสรรหาเสนอบัญชีรายชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติตามจำนวนที่กำหนดในมาตรา ๙ ต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติภายในสิบวันนับแต่วันที่พ้นระยะเวลาตามมาตรา ๑๓
มาตรา ๑๕ เมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้รับบัญชีรายชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติจากคณะกรรมการสรรหาแล้ว ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
(๑) พิจารณาคัดเลือกบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติจาก
บัญชีรายชื่อที่คณะกรรมการสรรหาประจำจังหวัดเสนอ จังหวัดละหนึ่งคน
(๒) พิจารณาคัดเลือกบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติจากบัญชีรายชื่อที่คณะกรรมการสรรหาแต่ละด้านตามมาตรา ๔ (๑) ถึง (๑๑) เสนอ ตามจำนวนที่เห็นสมควรแต่เมื่อรวมกับจำนวนตาม (๑) แล้ว ต้องไม่เกินสองร้อยห้าสิบคนให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาตินำรายชื่อบุคคลซึ่งได้รับการคัดเลือกตามวรรคหนึ่ง
ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายภายในสิบวันนับแต่วันที่ได้รับบัญชีรายชื่อตามมาตรา ๑๔ เพื่อทรงแต่งตั้งต่อไปเมื่อทรงแต่งตั้งสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติแล้ว ให้ประกาศรายชื่อนั้นในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๖ ในกรณีที่ตำแหน่งสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติว่างลงไม่ว่าด้วยเหตุใด หรือมีเหตุอันสมควรที่จะแต่งตั้งเพิ่ม คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะดำเนินการเพื่อให้มีการแต่งตั้งบุคคลจากบัญชีรายชื่อตามมาตรา ๑๔ เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติแทนตำแหน่งที่ว่างนั้นหรือเพิ่มขึ้นก็ได้
มาตรา ๑๗ ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเสนอชื่อหรือการสรรหา หรือมีปัญหาอื่นใดเกี่ยวกับการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติวินิจฉัย และเมื่อได้ดำเนินการตามคำวินิจฉัยของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติแล้ว ให้ถือว่าเป็นการชอบด้วยพระราชกฤษฎีกานี้และกฎหมายในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อให้การสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอำนาจประกาศเปลี่ยนแปลงระยะเวลา กำหนดให้ดำเนินการหรืองดเว้นการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกานี้ได้
มาตรา ๑๘ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๓๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ บัญญัติว่า องค์ประกอบและจำนวนกรรมการในคณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ วิธีการสรรหา กำหนดเวลาในการสรรหา จำนวนบุคคลที่จะต้องสรรหา และการอื่นที่จำเป็น ให้เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้