ภาสกร จำลองราช : เพ่งพิเคราะห์ “นิสัย” ธนาคารไทย
"..1 ใน 6 สถาบันการเงินที่ให้การสนับสนุนบริษัทช.การช่างฯ คือธนาคารไทยพาณิชย์ ทำให้ชาวบ้านต้องตั้งคำถามดังๆ เพราะรู้กันดีว่าผู้ถือหุ้นคนสำคัญของธนาคารแห่งนี้คือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งน่าจะมีความผูกพันและยึดโยงอยู่กับชุมชนมากกว่าธนาคารพาณิชย์ทั่วไป.."
(1)
เห็นข่าวประชาสัมพันธ์หรือภาษาข่าวเรียกว่า “ข่าวแจก”ของธนาคารไทยพาณิชย์ที่ออกมาแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของเด็กหญิงที่ถูกไฟฟ้าดูดบริเวณตู้เอทีเอ็มของธนาคารแล้ว รู้สึกวูบวาบในใจแทนฝ่ายประชาสัมพันธ์ขององค์กรนี้ขึ้นมาโดยฉับพลัน เพราะเพียงแค่ 2-3 สัปดาห์ มีข่าวเชิงลบขององค์กรให้ต้องชี้แจงแถลงไขติดต่อกัน 2 เรื่อง
เรื่องที่ชี้แจงเมื่อวานนี้ (15 สิงหาคม) เป็นกรณีที่ตู้เอทีเอ็มของธนาคารที่อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง เกิดไฟรั่ว และทำให้เด็กหญิงรายหนึ่งเสียชีวิต
อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม เมื่อธนาคารไทยพาณิชย์สาขาหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ได้สร้างเรื่องกระหึ่มสื่อออนไลน์ด้วยการไม่ยอมรับเงินฝากที่เป็นเหรียญจำนวน 7,000 บาทของหนูน้อยวัย 5 ขวบ ทำให้ถูกธนาคารแห่งนี้ถูกลงประชาทัณฑ์ทางเฟสบุคมาแล้ว จนฝ่ายประชาสัมพันธ์ต้องออกมาขอโทษ
ที่เห็นใจฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็เพราะเป็นเหมือนกระโถนในท้องพระโรงทีต้องแบกรับความสกปรกต่างๆเอาไว้ ทั้งๆที่สิ่งปฏิกูลทั้งหลายมาจากรอบทิศทางในองค์กรซึ่งเป็นปัญหาระดับรากเหง้า
ที่ผมหยิบเรื่องนี้มาเขียนเพราะเมื่อ 3 ปีก่อน ได้ไปทำข่าวชาวบ้านจาก 8 จังหวัดริมแม่น้ำโขง ยกขบวนกันมาประท้วงที่หน้าบริษัทช.การช่างฯ กรณีสร้างเขื่อนไซยะบุรีกั้นลำน้ำโขงในประเทศลาว ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยไปราว 200 กิโลเมตร เพราะเป็นห่วงเรื่องผลกระทบต่อชุมชนริมน้ำโขง ที่สำคัญคือยังไม่มีการศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนใดๆเลย แม้ว่าจะเป็นลำน้ำนานาชาติ
1 ใน 6 สถาบันการเงินที่ให้การสนับสนุนบริษัทช.การช่างฯ คือธนาคารไทยพาณิชย์ ทำให้ชาวบ้านต้องตั้งคำถามดังๆ เพราะรู้กันดีว่าผู้ถือหุ้นคนสำคัญของธนาคารแห่งนี้คือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งน่าจะมีความผูกพันและยึดโยงอยู่กับชุมชนมากกว่าธนาคารพาณิชย์ทั่วไป
ชาวบ้านจาก 8 จังหวัดริมน้ำโขงได้เดินทางไปยื่นจดหมายถึงผู้บริหารธนาคารนี้ที่สำนักงานใหญ่ แม้จะได้รับการต้อนรับอย่างดี มีน้ำท่าให้ดื่ม มีผ้าเย็นให้เช็ดหน้า แต่สุดท้ายจนถึงบัดนี้ ชาวบ้านก็ยังไม่ได้รับคำตอบจากผู้บริหารธนาคารแห่งนี้ว่าเหตุใดถึงสนับสนุนโครงการที่อาจจะวกกลับมาทำร้ายประชาชน ไม่ว่าจะเป็นประชาชนไทย ลาว กัมพูชาหรือเวียดนาม ย่อมได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนครั้งนี้แน่ ไม่มากก็น้อย แตกต่างกันไป
ขณะเดียวกันทราบมาว่าในการประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารไทยพาณิชย์ ได้มีผู้ถือหุ้นสอบถามถึงกรณีที่สนับสนุนด้านการเงินให้กับบริษัทช.การช่างฯ แต่คำตอบที่ได้คล้ายได้ยินกำปั้นทุบดินมากกว่า
ขณะนี้การปล่อยเงินกู้ของสถาบันการเงินไทย หรือเรียกให้ไพเราะว่าการสนับสนุนด้านการเงินให้บริษัทขนาดใหญ่สัญชาติไทยนำไปใช้ลงทุนในอภิมหาโปรเจคในประเทศเพื่อนบ้าน กำลังเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ขึ้นตามลำดับ เพราะมุ่งเน้นแต่กอบโกยโดยขาดการไตร่ตรองและพิจารณาอย่างรอบคอบ ที่สำคัญคือการไม่เคารพชุมชนและธรรมชาติ
ปัญหาที่เกิดขึ้นในธนาคารไทยพาณิชย์ตั้งแต่การเห็นเงินฝากที่เป็นเหรียญแล้วเบือนหน้าหนี การไม่ยอมปรับปรุงตู้เอทีเอ็มทั้งๆที่ชาวบ้านในย่านนั้นบอกว่าเคยถูกไฟฟ้าดูดมาหลายครั้งแล้ว ไปจนถึงเรื่องการไม่ศึกษาและพิจารณาโครงการที่ปล่อยกู้ให้กับบริษัทใหญ่ที่เอาเงินไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านอย่างรอบคอบ ทำให้เห็นถึง “นิสัย”ของธนาคารว่าเป็นอย่างไร
การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการประชาสัมพันธ์ หรืออธิบายด้วยกิจกรรมทางสังคมซึ่งเป็นงานอีกในอีกปีกหนึ่งขององค์กรก็ไม่ใช่คำตอบ เพราะเขาถามถึงเรื่องนิสัย หรือธาตุแท้ของคุณต่างหาก
การที่อยู่มาร้อยกว่าปี ย่อมมิใช่เรื่องบังเอิญ
(2)
สองปีติดต่อกันแล้วที่ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ได้ตั้งคำถามต่อผู้บริหารธนาคารในระหว่างการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นถึงกรณีที่ธนาคารแห่งนี้ให้การสนับสนุนด้านการเงิน
หรือเรียกให้เข้าใจง่ายคือการปล่อยกู้ให้กับบริษัทช.การช่าง ในโครงการสร้างเขื่อนไซยะบุรีกั้นแม่น้ำโขงในสปป.ลาว
เมื่อปี 2556 เขาเคยตั้งคำถามในลักษณะนี้ในที่ประชุมใหญ่มาครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งได้รับคำตอบจากคุณอานันท์ ปันยารชุน ในฐานะนายกกรรมการธนาคารว่า
“ ธนาคารเพียงแต่พิจารณาว่าประเทศเจ้าบ้านเห็นชอบ ประเทศเพื่อนบ้านไม่ค้าน และมีงานศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากหน่วยงานอิสระ คือ Pöyry ก็เพียงพอแล้วที่จะให้เงินกู้ เพราะธนาคารไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม”
คำตอบจากคุณอานันท์ไม่ได้สร้างความกระจ่างให้ผู้ถามเลย ในทางตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกว่าฉงนในคำอธิบายนั้นมากขึ้น
เพราะสะท้อนให้เห็นถึงความไม่รับผิดชอบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากบริษัทเอกชนจากยุโรปนาม Pöyry ที่ถูกอ้างอิงถึงนั้น เป็นการว่าจ้างโดยรัฐบาลลาว/ผู้สร้างเขื่อน
ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องเอาใจผู้ว่าจ้าง แทนที่ธนาคารใหญ่ระดับนี้จะจ้างที่ปรึกษาอิสระศึกษาในเรื่องนี้
ในปีนี้ (3 เมษายน 2557)ชายผู้ถือหุ้นรายนี้ ได้ลุกขึ้นพูดในที่ประชุมผู้ถือหุ้นอีกครั้งว่า โครงการเขื่อนไซยะบุรี เขื่อนของคนไทยในลาว เข้าใจว่าฝ่ายประเมินความเสี่ยงเงินกู้โครงการขนาดใหญ่หรือคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงของธนาคารอาจไม่เคยมีข้อมูลมาก่อน แม้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่
“เขื่อนนี้สูง 48 เมตร ยาว 800 เมตร สร้างขวางลำน้ำโขงที่เมืองไซยะบุรี เป็นเขื่อนแรกในแม่น้ำโขงตอนล่าง แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำสำคัญที่สุดในภูมิภาค มีพันธุ์ปลามากที่สุด มีคนกว่า 60 ล้านคนพึ่งพา เป็นแหล่งอาหารและหารายได้ สร้างมูลค่ารวมปีละหลายพันล้านบาท แต่เมื่อสร้างเขื่อนเสร็จต้องผลิตไฟฟ้าทุกวัน โดยกักน้ำ 16 ชั่วโมง ปล่อยน้ำ 8 ชั่วโมง ระดับน้ำที่กักจะสูงถึง 33 เมตร มวลน้ำที่ปล่อยทำให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนสูงทันที 5 เมตร คำนวณคร่าวๆที่อ.เชียงคาน จ.เลย ไล่มาถึงจ.บึงกาฬ จะสูงไม่ต่ำกว่า 3 เมตร ที่อ.โขงเจียม จ.อุบลฯไม่ต่ำกว่า 1 เมตร และจะขึ้นๆลงๆแบบนี้ทุกๆวัน รัฐบาลลาวไม่เคยบอกเรื่องผลกระทบข้ามแดนนี้เลย”
ชายผู้ถือหุ้นรายนี้ยังพูดในที่ประชุมต่อไปว่า เกี่ยวกับการสร้างทางปลาผ่าน ซึ่งจนบัดนี้ยังไม่มีสาธารณะชนที่ไหนเห็นแบบทางปลาผ่านในแม่น้ำโขง ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างยืนยันว่าปลาน้ำโขงไม่สามารถใช้ทางปลาผ่าน และไม่ใช่ปลาที่ขยายพันธุ์ได้ในอ่างเก็บน้ำ โดยมีตัวอย่างที่เขื่อนปากมูล ซึ่งแทบไม่มีปลาตัวใดว่ายผ่านไปได้ แม้มีบันไดปลาโจน
“ธนาคารไทยพาณิชย์นั้นมีชื่อเสียงมานานกว่าร้อยปี ผมซื้อหุ้นธนาคารเพราะมีชื่อเสียงเรื่องการดำเนินธุรกิจที่ดีและได้รับการยอมรับมายาวนาน กรรมการจะเอาโครงการนี้มาเสี่ยงจริงหรือ ธนาคารจะเสียชื่อเสียงแล้วมันจะคุ้มกับผลกำไรจากโครงการนี้จริงหรือ หากถึงที่สุดแล้ว เขื่อนนี้สร้างความเสียหายแก่แม่น้ำโขง ธนาคารในฐานะผู้ลงทุนหลักจะรับผิดชอบต่อสังคม ต่อประชาชนที่เดือดร้อนอย่างไร จะรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นอย่างไร”
หลังจากนั้นนายอานันท์ ปันยารชุน ได้ขอให้ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหารเป็นผู้ตอบ
โดยดร.วิชิตกล่าวว่า ธนาคารไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมจึงต้องอาศัยข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญอื่น และนอกจากนี้ประเทศที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงคือลาว เขมร เวียดนาม ซึ่งได้รับผลกระทบมากกว่าไทย และต่างก็เป็นสมาชิก MRC ยังไม่ค่อยส่งเสียงดังเท่าไหร่
นอกจากนั้นในเรื่องทางปลาผ่าน หากว่าประเทศเหล่านั้นเล็งเห็นว่าทางปลาผ่านจะใช้ไม่ได้จริง ก็ต้องรีบประท้วงแล้วเพราะว่าเขาจะได้รับผลกระทบมากที่สุด
เมื่อนายวิชิตพูดจบ ผู้ถือหุ้นรายนี้ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า หากธนาคารทราบดีว่าตัวไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ เหมือนที่คุณอานันท์พูดไว้เมื่อปีที่แล้ว
แต่ธนาคารก็ประกาศ CSR ว่าคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคมเป็นหลัก แบบนี้ธนาคารต้องค้นข้อมูลเพิ่มว่าถูกต้องหรือไม่ ไม่ใช่เพียงแค่ดูและเชื่อ EIA ของโครงการ ทั้งๆที่ค้น google ก็จะพบงานวิชาการมากมาย
“ผมขอยกตัวอย่างกรณีที่ลาวต้องฟังประเทศเพื่อนบ้านท้ายน้ำคือกรณีเขื่อนดอนสะโฮง ซึ่งลาวพยายามเสนอสร้าง แต่เวียดนามและกัมพูชาประท้วงเต็มที่ ถึงที่สุดลาวก็ต้องเงียบไปบ้าง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอำนาจการเมืองระหว่างประเทศนั้น ยังแข็งแกร่ง ท่านจะทำอย่างไรหากเขื่อนไซยะบุรีกระทบประเทศลุ่มน้ำ และรัฐบาลเหล่านั้นเรียกร้องให้ลาวหยุดใช้เขื่อนถาวร ท่านเคยพิจารณาความเสี่ยงนี้หรือไม่
ดร.วิชิตตอบเพิ่มเติมว่า 1.ในส่วนของการประท้วง จนบัดนี้รัฐบาลกัมพูชา เวียดนาม ก็ไม่ได้ประท้วงเขื่อนไซยะบุรีแบบที่ประท้วงเขื่อนดอนสะโฮง 2.เรื่องความเสี่ยง ธนาคารคิดว่าสามารถรับความเสี่ยงตรงนี้ได้ ไม่น่ามีปัญหาอะไร ทั้งนี้ไม่ทราบว่าท้ายสุดคุณถูก หรือผมถูก หากคุณถูก ธนาคารก็ยังรับความเสี่ยงได้แน่นอน แต่หากว่าโครงการนี้ไปได้ดี ประเทศไทยจะได้ประโยชน์เยอะมากในเรื่องไฟฟ้า ซึ่งเรามีไม่พอใช้ในปัจจุบัน
คำชี้แจงของดร.วิชิต ช่วยปอกเปลือกองค์กรจนทำให้เข้าใจ “นิสัย”ของธนาคารไทยพาณิชย์ในยุคนี้พอสมควร
เพราะฉะนั้นเหตุที่เกิดขึ้นตั้งแต่เรื่องการไม่ยอมรับเงินฝากที่เป็นเหรียญจากเด็ก 5 ขวบไปจนถึงเรื่องที่มีเด็กหญิงถูกไฟฟ้าดูดตายบริเวณตู้เอทีเอ็มธนาคาไทยพาณิชย์ ในอ.ย่านตาขาว จ.ตรังจึงเป็นเพียงสะเก็ดเล็กๆที่กะเทาะมาจากแก่นใหญ่เท่านั้น
เราบันทึกกันเอาไว้และคอยดูกันต่อไปว่า หากเขื่อนไซยะบุรีสร้างเสร็จ และส่งผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมซึ่งขณะนี้ประชาชนชาวลาวจำนวนหลายหมู่บ้านต้องถูกบังคับย้ายจากริมแม่น้ำอันอุดมสมบูรณ์ไปอยู่ในแปลงที่ดินห่างจากบ้านเกิดตามที่ทางการจัดให้
“ความเสี่ยง”ต่อระบบนิเวศวัฒนธรรรม และความเสียหายของการพัฒนาที่เพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ สถาบันการเงินที่เข้าไปแสดวงหากำไรบนความทุกข์ยากจะรับผิดชอบอย่างไร