10 แนวทางการรายงานข่าวโรคระบาด
"..สื่อโทรทัศน์ควรระมัดระวังการนำแหล่งข่าวที่มีความขัดแย้งมาออกรายการ เช่น กรณีนำเอาญาติผู้เสียชีวิตกับแพทย์โรงพยาบาลมาออกอากาศรายการสด และมีเนื้อหาที่แสดงความไม่พอใจต่อการแก้ไขปัญหาของรัฐ หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องแล้วนำเจ้าหน้าที่ แพทย์ หรือผู้ที่มาเกี่ยวข้องมาออกในรายการ แม้จะดูว่าสื่อได้ทำหน้าที่ในการนำเสนอข่าวสาร แต่เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงของแต่ละฝ่ายภายใต้บรรยากาศของความขัดแย้ง เพราะอาจส่งผลต่อการสร้างความตระหนกต่อสาธารณชนได้.."
ข่าวการระบาดของโรคอีโบล่าเริ่มเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนอีกครั้ง เมื่อทราบว่ามีหญิงสาววัยกลางคนชาวไทย ที่เดินทางมาจากต่างประเทศที่มีความเสี่ยง ว่าเธออาจมีความเสี่ยงเป็นผู้ติดเชื้อไข้หวัดอีโบล่า
ล่าสุดหญิงคนดังกล่าวมีอาการปกติ ไม่มีไข้ ไม่มีอาการเข้าข่ายเป็นโรคติดเชื้อไวรัสอีโบล่าแต่อย่างใด แม้จะอยู่ในประเทศที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบล่า แต่ไม่พบประวัติการสัมผัสโรค
เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดมักเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง นับตั้งแต่ไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ ซาร์สทุกๆ ครั้งที่เกิดโรคระบาด จึงมักพบว่าสื่อมวลชนให้ความสนใจเป็นสำคัญเสมอ
แต่เพราะข่าวโรคระบาดส่วนมาก สื่อมักเน้นไปที่สถานการณ์การระบาด อาการเจ็บป่วย ระยะเวลาการเสียชีวิต จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิต หรือ โอกาสที่จะติดเชื้อและเสียชีวิต ซึ่งอาจเพิ่ม/สร้างความตระหนักในความน่ากลัวของสถานการณ์การระบาดได้
ผู้เขียน จึงมีข้อเสนอแนะเป็นแนวทางการรายงานข่าวโรคระบาด เพื่อสื่อสารข้อเท็จจริง ความถูกต้อง เพื่อสร้างความตระหนักมากกว่า ความตระหนก ดังนี้
(1) ความถูกต้อง สำคัญที่สุด
ควรตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องก่อนรายงาน โดยเฉพาะข้อมูลที่อาจสร้างความคลุมเครือ เข้าใจผิด เช่น สาเหตุการติดเชื้อ (ติดจริงหรือไม่ได้ติด) สาเหตุการเสียชีวิต (ว่ามาจากโรคไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 หรือจากโรคประจำตัวร่วมด้วย)
แม้ว่าความเร็วจะสำคัญ แต่ความถูกต้อง สำคัญกว่าเสมอ
(2) คุณค่าข่าว ต้องตระหนัก มากกว่าตระหนก
การรายงานข่าวโดยเน้นคุณค่าข่าวเรื่องผลกระทบของโรคระบาดนั้นแตกต่างจากการายงานข่าวที่เน้นการสูญเสียชีวิต การบาดเจ็บของผู้ป่วย เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนต่อการสร้างความกังวลใจให้เกิดขึ้นต่อประชาชน
พึงตระหนักว่า บทบาทของสื่อจึงอยู่ที่การสื่อสารเพื่อช่วยควบคุมการระบาดของโรคภัย มิใช่การแพร่ระบาดความกังวล ความตื่นตระหนกในข้อมูลข่าวสาร แต่เน้นการเตรียมพร้อมป้องกันภัยจากโรคระบาด
(3) งดเรื่องเศร้า เคล้าดราม่า
งดเว้น ภาษาข่าวเร้าอารมณ์ ขยายความกลัว ความตื่นเต้น ตื่นตระหนก การรายงานข่าวผู้เสียชีวิต หรือการใช้ภาษาข่าวที่เร้าอารมณ์อาจส่งผลต่อการเตือนภัยให้สังคมและรัฐตื่นตัว แต่ในอีกทางหนึ่งมันก็ส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกได้เช่นกัน
สื่อควรใช้ภาษาข่าวที่ตรงไปตรงมา สั้น กระชับ เข้าใจง่าย ปราศจากการขยายหรือสร้างความหวาดกลัว การพาดหัวข่าวในลักษณะชี้นำสถานการณ์ควรเป็นไปในทางป้องกัน
(4) แหล่งข่าวถูกต้อง เกี่ยวข้องโดยตรงเท่านั้น
ในสถานการณ์วิกฤต การคัดเลือกและตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าวว่ามีความเกี่ยวข้องโดยตรงเป็นสิ่งจำเป็น
เข้มงวดกับการใช้แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องโดยตรง และรายงานเน้นที่ตัวเหตุการณ์มากกว่าบุคคล
ต้องเน้นการรายงานข่าวที่เน้นตัวเลขข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่ได้รับการพิสูจน์ ตรวจสอบแล้ว จากหน่วยงานด้านการแพทย์ที่มีหน้าที่โดยตรง เช่น กระทรวงสาธารณสุข หรือ กรมควบคุมโรคเท่านั้น
แหล่งข่าวที่ดีที่สุดก็คือแพทย์ หรือผู้ที่รัฐมอบหมายให้เป็นผู้ให้ข่าว ควรแจ้งชื่อ หน่วยงานสังกัด พื้นที่สังกัด และตำแหน่ง/ความเชี่ยวชาญพิเศษอย่างครบถ้วน และนำเสนอเนื้อหาคำสัมภาษณ์ให้ได้สาระใจความครบถ้วนสมบูรณ์เพียงพอ
(5) อย่าเอาแต่ขายพาดหัวข่าว
หากสื่อเน้นแต่การพาดเรื่องตัวเลขผู้ติดเชื้อ การเสียชีวิต ระดับความรุนแรง การแพร่เชื้อ การกลายพันธุ์ การดื้อยา สถานที่เสี่ยง ฯลฯ การพาดหัวข่าวแบบนี้ส่งผลเสียโดยตรงต่อความพยายามแก้ไขและควบคุมปัญหา หากได้รับข้อมูลไม่ชัดเจนและเป็นไปในทางเดียวกัน
(6) ไม่ระบุชื่อผู้ป่วย อย่าเรียกคนติดเชื้อเหมารวม
ควรเรียกผู้ป่วยให้ถูกต้อง ระหว่าง “ผู้ติดเชื้อ”, “ผู้มีความเสี่ยง”, “ผู้ต้องสงสัย”, “กลุ่มเฝ้าระวัง” และห้ามรายงานระบุชื่อ นามสกุล ของผู้ป่วย ผู้ต้องสงสัย อย่างเด็ดขาด
และงดเว้นคำเรียกชื่อผู้ติดเชื้อที่มีลักษณะเหมือนฉายา เหมารวมกลุ่มคน เช่น สาวไข้หวัดใหญ่ ทอมหวัดมรณะ เฒ่าซารส์ ทารกไข้อหิวา
ชื่อโรคที่เรียกควรมีความชัดเจน การบรรยายรายละเอียดอาการ การปกปิดหรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ติดเชื้อควรมีความระมัดระวัง
(7) อย่าเหมารวมสาเหตุการเสียชีวิต
ควรสืบสาเหตุที่แน่ชัดของการเสียชีวิตก่อนรายงานออกไป ว่าเสียชีวิตเพราะโรคระบาดนั้น หรือเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวหรืออาการข้างเคียง การรายงานกลุ่มเสี่ยง/พฤติกรรมเสี่ยงควรมีความชัดเจน สาเหตุและอัตราการเสียชีวิต การเข้ารับการรักษา ประสิทธิภาพของยา การดูแลตนเองและการอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้ออย่างปลอดภัย ประเด็นเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความกังวลใจของสาธารณะ เพราะฉะนันควรตรวจสอบข้อมูลที่ชัดเจนจากแพทย์และรายงานมันไปอย่างครบถ้วน
(8) เกาะติดต่อเนื่อง อย่าวางใจ
การเกาะติดประเด็นข่าว สื่อควรรายงานข่าวสถานการณ์การระบาดอย่างต่อเนื่อง และให้ความสำคัญมากกว่าข่าวอื่นๆ ในขณะนั้น การรายงานข่าวที่ขาดช่วงขาดตอนไป จะทำให้สังคมรู้สึกว่า สถานการณ์ได้คลี่คลายลงไปแล้ว ซึ่งอาจเป็นช่วงระยะเวลาของการพักช่วงการระบาด หรือเป็นช่วงที่ยังไม่มีเหตุการณ์ใหม่ที่มีความสำคัญเกิดขึ้น
สื่ออาจเปลี่ยนแบบแผนการรายงานข่าวจากการรายงานมาเน้นบทบาทในการให้ความรู้ อาจผ่านคอลัมน์ บทความ สกู๊ปหรือรายงานพิเศษ ที่อาจสอดแทรกแง่มุมทางผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย แต่ไม่ควรสร้างบรรยากาศที่วางใจ หากในความเป็นจริงสถานการณ์การระบาดไม่ได้ลดลงหรือยังไม่ได้อยู่ในภาวะที่ควบคุมได้
ควรลดการนำเสนอข่าว “ความคืบหน้าของอาการผู้ติดเชื้อ” ในลักษณะรายวันลง แต่ควรเน้นการรายงานข่าวสถานการณ์การระบาดทั่วไปในพื้นที่เขตโรงเรียน แหล่งทำงาน แหล่งชุมชน สถานบันเทิง ตลาด หรือสถาบันการศึกษา เพื่อให้ผู้ชมตระหนักถึง “สภาวะแวดล้อมต่างๆ ที่มีความเสี่ยง” แทนที่จะเป็น “กลุ่มบุคคลที่ความเสี่ยง” เช่น “หญิงตั้งครรภ์ / คนอ้วน หรือผู้มีโรคประจำตัว” หรือ “กลุ่มนักท่องเที่ยว”
(9) อย่าขาย/ขยายความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น
สื่อโทรทัศน์ควรระมัดระวังการนำแหล่งข่าวที่มีความขัดแย้งมาออกรายการ เช่น กรณีนำเอาญาติผู้เสียชีวิตกับแพทย์โรงพยาบาลมาออกอากาศรายการสด และมีเนื้อหาที่แสดงความไม่พอใจต่อการแก้ไขปัญหาของรัฐ หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องแล้วนำเจ้าหน้าที่ แพทย์ หรือผู้ที่มาเกี่ยวข้องมาออกในรายการ แม้จะดูว่าสื่อได้ทำหน้าที่ในการนำเสนอข่าวสาร แต่เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงของแต่ละฝ่ายภายใต้บรรยากาศของความขัดแย้ง เพราะอาจส่งผลต่อการสร้างความตระหนกต่อสาธารณชนได้
การคัดเลือกผู้ป่วย-ญาติผู้ป่วยมาให้ข้อมูลในรายการควรมีความระมัดระวังและกลั่นกรองก่อนนำออกอากาศ เพราะผู้ป่วยอาจมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนไม่ถูกต้อง แต่อาจมีความรู้สึกไม่ได้รับความชอบธรรมจากการรักษา สื่อควรให้พื้นที่แก่ทั้ง 2 ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทันที เพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิด
(10) ให้ความรู้ท้ายข่าวเสมอ
ควรปิดท้ายรายงานข่าว ด้วยข้อมูลการป้องกันหรือให้ความรู้แก่ผู้ชมในตอนท้ายรายงานเสมอ
ข่าวโรคระบาดนั้น สื่อต้องมีหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์ เพื่อให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้เตรียมรับมือ ป้องกัน หรือหามาตรการป้องกันต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานรัฐ ต้องเน้นการกระตุ้น ตื่นตัว
แต่อย่าสร้างความตระหนกให้แก่ประชาชนจะดีที่สุด!