ตีโจทย์ให้แตก
การที่ทหารใช้มาตรการควบคุมตัวภาคประชาชนในขบวน “ขาหุ้นปฏิรูปพลังงาน”ที่มีแผนเดินเท้าจากหาดใหญ่มุ่งหน้ามายื่นข้อเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) นั้น ช่วยสะท้อนความรู้ความเข้าใจคำว่า “ปฏิรูป”ของทหารได้อย่างแจ่มแจ๋ว
ถามว่า การจัดกิจกรรมของทีมขาหุ้นปฏิรูปพลังงาน ทำผิดกฎหมายหรือไม่ ในมุมของทหารที่หวาดระแวงและจับจ้องอยู่กับภัยความมั่นคง ย่อมเห็นคนกลุ่มนี้เป็นปัญหาและงัดเอากฎอัยการศึกมาใช้การได้เพราะรวมตัวกันมากกว่า 5 คน
แต่ถ้า “การข่าว”ของทหารดีจริงและมองให้ไกลและลึกซึ้ง จะพบว่า ขบวนภาคประชาชนกลุ่มนี้ มิใช่ภัยความมั่นคงใดๆเลย ในทางตรงกันข้ามนี่คือจุดเริ่มต้นของคำว่า “ปฏิรูป” โดยประชาชน ก่อนที่จะมีสปช.(สภาปฏิรูปแห่งชาติ)
สมาชิกของขอหุ้นปฏิรูปพลังงานครั้งนี้จำนวนไม่น้อยเคยออกมาต่อต้านระบอบทักษิณ บางคนเป็นถึงแกนนำขึ้นเวทีปราศรัย และเมื่อทหารยึดอำนาจการปกครอง แต่ละคนต่างก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองและจับตาดูการทำงานอย่างเงียบๆ
จนกระทั่งวันหนึ่งพวกเขาพบว่า เหล่ากุนซือและขุนนางที่คสช.แต่งตั้งขึ้นคือกลุ่มคนหน้าเดิมๆที่ช่ำชองอยู่กับกิจการพลังงานและการปั้นตัวเลขทางเศรษฐกิจ โดยคนกลุ่มนี้ได้เข้ามามีบทบาทในการกำหนดทิศทางด้านเศรษฐกิจของประเทศเพราะมีวิธีการ “เข้าถึง” ขั้วอำนาจได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าใครจะเข้ามามีอำนาจก็ตาม
ขณะนี้เหล่ากุนซือและขุนนางได้อาศัยจังหวะที่สังคมกำลังอ่อนแอด้านการตรวจสอบและการมีส่วนร่วม ใช้อำนาจผ่านคสช.เดินหน้าโครงการขนาดใหญ่ในภาคใต้ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโครงการที่ทำร้ายชุมชนและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นภาคประชาชนปักษ์ใต้กลุ่มนี้จึงยอมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นโครงการสร้างโรงงานไฟฟ้าถ่านหิน โครงการสร้างท่าเรือและสะพานเชื่อม โครงการสำรวจน้ำมัน
สารพัดโครงการที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและคนปักษ์ใต้กำลังเดินหน้าอย่างเงียบๆ เพราะมีพลังหนุนเนื่องจากเหล่ากุนซือและขุนนางอันหิวกระหายกลุ่มนี้ที่ต้องการเห็นภาคใต้เป็นแหล่งอุตสาหกรรมเช่นเดียวกับภาคตะวันออก โดยไม่สนใจวิถีชีวิตอันสุขสงบและทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของคนปักษ์ใต้
หากผู้นำคสช.ทบทวนและพิจารณาอย่างรอบคอบก็จะเห็นถึงคำว่า “ปฏิรูป”ที่เคลื่อนมากับขบวนเดินเท้าของภาคประชาชน “ขาหุ้นปฏิรูปพลังงาน” ได้เป็นอย่างดี และแทนที่จะขัดขวางก็เปลี่ยนเป็นเรียนรู้ ซึ่งจะสร้างความคึกคักให้กับกระบวนการปฏิรูปที่กำลังหงอยเหงาให้มีชีวิตชีวาขึ้น
การศึกษาและเรียนรู้ศาสตร์ “ปฏิรูป”ด้วยสถานการณ์จริง ดีกว่าการระดมนายทหารฝ่ายเสนาฯทุกเหล่าทัพและนักวิชาการนับร้อยๆมานั่งอ่านเอกสารและสกัดข้อมูลเป็นไหนๆ
ผมเชื่อว่าครั้งนี้ถึง “ขวาง”อย่างไรก็เอาไม่อยู่ เพราะภาคประชาชนใน 11 จังหวัดภาคใต้เขาไม่ยอมให้สารพัดโครงการขนาดใหญ่เหล่านี้เกิดขึ้นหรอก เพราะนั่นมันคือเดิมพัน“ชีวิต”ของพวกเขาและลูกหลาน
ขณะนี้คสช.กำลังถูกวิจารณ์เรื่องการแยกมิตรแยกศัตรู ซึ่งในประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติรัฐประหารแบบไทยๆ ก็เห็นบทเรียนมาแล้วทุกครั้งว่า เหล่านักธุรกิจและนักแสวงหากำไรเข้ามาซูฮก สุดท้ายเป็นอย่างไร
การ “ตีโจทย์”ให้แตกเป็นเรื่องสำคัญมาก