ความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน
“ผลงานการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันของประเทศในช่วงสองปีนี้ มีความก้าวหน้ามากที่สุดนับตั้งแต่มีการใช้รัฐธรรมนูญ ปี2540 เป็นต้นมา”
รายงานนี้เป็นการรวบรวม “ผลงานของภาครัฐที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันของประเทศ” ที่ประเมินได้ว่า ผลงานนั้นสามารถสร้างผลกระทบในวงกว้างและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มกฎหมาย และ กลุ่มมาตรการหรือกลไก ดังนี้
กฎหมายต่อต้านคอร์รัปชัน
มีการตรากฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปฏิรูประบบงานและการบริการของรัฐ เพื่อความโปร่งใสและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะ เพิ่มอำนาจและประสิทธิภาพขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชันภาครัฐ ที่จะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
1. กฎหมายที่มีผลบังคับใช้แล้ว
มี 3 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการฯ พ.ร.ฎ. การทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายฯ และการแก้ไข พ.ร.บ. ป.ป.ช.
2. กฎหมายที่อยู่ในกระบวนการของ สปท. สนช. และรัฐบาล
มีร่างกฎหมาย 3 ฉบับที่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กำหนดเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ ได้แก่ พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ร.บ. การกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม และ พ.ร.บ. คุ้มครองติดตามทรัพย์สินของแผ่นดินคืนจากการทุจริต
และยังมีร่างกฎหมายสำคัญอีก 4 ฉบับ ที่จะช่วยสร้างเงื่อนไขไปสู่ความสำเร็จในการแก้ปัญหาคอร์รัปชันระยะยาว ได้แก่ แก้ไข พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารฯ ตรา พ.ร.บ. จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ร.บ. การโฆษณาประชาสัมพันธ์ภาครัฐฯ และกฎหมายจัดตั้งสถาบันวิเคราะห์งบประมาณประจำรัฐสภา โดยมีหลักการและวัตถุประสงค์ของกฎหมายพอสรุปมีดังนี้
1. กฎหมายที่มีผลบังคับใช้แล้ว
1.1. พ.ร.บ. อำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558
เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนที่มีมานานของประชาชน ทั้งคนทำมาค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงพ่อค้าและนักลงทุนจากต่างประเทศที่จำเป็นต้องติดต่อหน่วยงานของรัฐเพื่อขออนุญาต อนุมัติ จดแจ้ง จดทะเบียน ขึ้นบัญชี หรือ ออกเอกสารสิทธิ์ เช่น ทำบัตรประชาชน เสียภาษี ทำใบขับขี่ ขอสร้างบ้าน ขอใช้ไฟฟ้าใช้น้ำประปา เปิดร้านขายของ แจ้งความที่โรงพัก ลงทะเบียนผู้สูงอายุ จดทะเบียนการค้า สร้างโรงงานหรือจ้างแรงงาน เป็นต้น
ที่ผ่านมาการให้บริการของรัฐจำนวนมากนอกจากจะยุ่งยากสร้างภาระเกินจำเป็นให้กับประชาชนแล้ว ยังเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเรียกร้องสินบนเอาจากผู้ไปติดต่อใช้บริการจนสร้างความเดือดร้อนและเป็นต้นทุนแก่ทุกคน ทำให้ประเทศต้องเสียโอกาส เกิดความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงบริการของประชาชน ความไม่เท่าเทียมทางสังคม - เศรษฐกิจ และปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมาก
กฎหมายนี้จึงกำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่มีอยู่ประมาณ 4 หมื่นแห่งต้องทบทวนการให้บริการประชาชนให้รวดเร็วมีขั้นตอนชัดเจนตรวจสอบได้ ลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่และต้องมีคู่มือบริการที่ชัดเจน มีข้อสังเกตว่า กฎหมายนี้เมื่อใช้ร่วมกับ พ.ร.ฎ. การทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพสูงมากในการทบทวนขอบเขตและความจำเป็นในการใช้อำนาจอนุญาตอนุมัติของรัฐ
1.2 แก้ไข พ.ร.บ. ป.ป.ช.
เพื่อให้ ป.ป.ช. มีอำนาจมากขึ้นในการตรวจจับและดำเนินคดีคอร์รัปชัน และให้กฎหมายของไทยสอดคล้องกับอนุสัญญา UNCAC 2003 โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมที่สำคัญ เช่น เพิ่มฐานความผิด การเอาผิดผู้ให้สินบน การเอาผิดนิติบุคคล การเอาผิดกรณีคนไทยไปติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศหรือองค์กรนานาชาติ เพิ่มความชัดเจนในบทลงโทษคดีคอร์รัปชันให้มีโทษถึงประหารชีวิต เพิ่มบทบัญญัติที่เอาผิดผู้ให้สินบนมากขึ้น
1.3 พ.ร.ฎ. การทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย
เพื่อให้มีการแก้ปัญหาคอร์รัปชันในระดับโครงสร้างอย่างเป็นระบบ โดยกำหนดให้มีการทบทวนหรือยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่เหมาะสมกับเศรษฐกิจและสังคมยุคปัจจุบัน ซึ่งอาจยุ่งยากหรือสร้างภาระเกินจำเป็นให้แก่ประชาชนหรือกฎหมายที่เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริต เป็นต้น โดยกำหนดให้ต้องมีการทบทวนกฎหมายเมื่อจำเป็นหรืออย่างน้อยทุก 5 ปี กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 25 สิงหาคม 2558 ที่ผ่านมา
โดยหลักสากล ก่อนการออกกฎหมายควรต้องมีการพิจารณาผลกระทบของกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment) ว่าจะส่งผลกระทบกับใครมากน้อยเพียงใด และเมื่อเวลาผ่านไปเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมายในสังคมรวมทั้งมีกฎหมายใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาก ก็ควรที่จะมีการทบทวนกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่เหมาะสม
2. กฎหมายที่อยู่ในกระบวนการของ สปท. สนช. และรัฐบาล
2.1 กฎหมายเร่งด่วนของ สปท.
ก. พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
เพื่อให้เงินของแผ่นดินถูกใช้ไปอย่างรอบคอบกล่าวคือ ต้องเกิดประโยชน์คุ้มค่าของเงิน (Value of Money) มีการควบคุมและลดการบริหารจัดการที่ผิดพลาด (Mismanagement) เช่น การเลือกโครงการที่ไม่เหมาะสม การวางแผนบริหารผิดพลาด คัดเลือกบริษัทที่ปรึกษา ผู้รับเหมาหรือผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการ การกำหนดวงเงินลงทุน การเลือกผลิตภัณฑ์หรือเทคนิคการผลิต การตรวจสอบคุณภาพ กำหนดเวลาส่งมอบสินค้าที่เหมาะสม การรับประกันคุณภาพและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุน เป็นต้น และสุดท้ายต้องป้องกันไม่ให้มีการรั่วไหล (Corruption) และการเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง
ดังนั้น กฎหมายนี้จึงวางหลักสำคัญ เช่น กำหนดกรอบปฎิบัติที่เป็นมาตรฐานขั้นต่ำให้บังคับใช้ครอบคลุมทุกหน่วยงานของรัฐ ทุกประเภทการจัดซื้อจัดจ้าง กำหนดให้การใช้เงินของแผ่นดินต้องเป็นไปอย่างเข้มงวด ลดการใช้ดุลยพินิจของผู้มีอำนาจ มีมาตรการเพื่อความคล่องตัวและยืดหยุ่นในกรณีที่จำเป็น ยึดหลักความคุ้มค่าและประสิทธิภาพจากการจัดซื้อจัดจ้าง มีคณะกรรมการ 5 คณะที่มีผู้แทนภาคประชาชนเข้ามาร่วม โดยแต่ละคณะได้แบ่งแยกหน้าที่กันเพื่อให้เกิดการตรวจสอบถ่วงดุล สร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการตรวจสอบ การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ ด้วยการนำมาตรการเชิงป้องกันมาใช้ เช่น ข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) และโครงการแนวร่วมปฎิบัติภาคเอกชน (Collective Action Coalition : CAC) สร้างระบบจัดเก็บและการเปิดเผยข้อมูลด้วยระบบอิเล็คทรอนิกส์ มีแนวทางการปฎิบัติอย่างเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย มีการพัฒนาบุคลากรด้านการจัดซื้อจัดจ้างให้มีความรู้ความชำนาญเฉพาะทางโดยได้รับการปลูกฝังด้านจริยธรรมในวิชาชีพและได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมเพื่อลดแรงจูงใจในการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนบุคคลโดยมิชอบ รวมถึงเพิ่มบทลงโทษที่รุนแรงต่อเจ้าหน้าที่และผู้สั่งการที่ทุจริต
ข. พ.ร.บ. การกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม
เนื่องจากมีพฤติกรรมคอร์รัปชันมากมายที่ไม่สามารถเอาผิดได้ตามกฎหมายทั่วไป เช่น การใช้อำนาจหน้าที่หรือมีพฤติกรรมหรือใช้อิทธิพลและบารมีของนักการเมืองที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับบุคคลในครอบครัว บุคคลใกล้ชิดหรือพวกพ้อง การกระทำที่ทำให้ผลประโยชน์ของรัฐเสียหาย เช่น การใช้ทรัพย์สินเวลาราชการ บุคลากร สิ่งอำนวยความสะดวกของหน่วยงานไปเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือบุคคลอื่น เป็นต้น
แม้เรื่องนี้จะมีการบัญญัติไว้บางส่วนในรัฐธรรมนูญแต่ก็ยังขาดความชัดเจนจึงต้องมีการกำหนดรายละเอียดขึ้นมา เช่น คนที่ได้รับประโยชน์ การกระทำใดที่ถือเป็นความผิด ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ลักษณะของผลประโยชน์ อะไรผลประโยชน์ส่วนรวมหรือส่วนตัว การกระทำต้องห้าม และบทลงโทษ เป็นต้น
กฎหมายนี้จึงช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและวางแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐตามหลักการแยกบทบาทและผลประโยชน์ของบุคคลไม่ว่าจะเป็นผู้ปฏิบัติงานหรือผู้บริหารออกจากหน่วยงานของรัฐอย่างเด็ดขาด ทั้งหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ องค์การมหาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พฤติกรรมตัวอย่าง เช่น การรับของขวัญของที่ระลึกมูลค่าเกินกว่า 3 พันบาท รับเลี้ยงอาหาร การพาเที่ยว การออกกฎหมาย/คำสั่ง/นโยบาย ที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่บุคคลใด การห้ามข้าราชการที่ออกจากราชการแล้วไปทำงานให้เอกชนที่มีลักษณะงานตรงกับงานในอำนาจหน้าที่ของตนขณะรับราชการ ภายในเวลา 2 ปี กำหนดให้สัญญาใดๆ ก็ตามต้องตกเป็นโมฆะ หากพบว่ามีลักษณะเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ห้ามการก้าวก่าย แทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ เป็นต้น
Conflict of Interest อาจเรียกในภาษาไทยได้แตกต่างกัน เช่น ผลประโยชน์ทับซ้อน การมีส่วนได้ส่วนเสีย การขัดกันแห่งผลประโยชน์ แต่การที่กฎหมายใช้ชื่อขึ้นต้นว่า “การกระทำ......” เป็นเพราะการขัดกันแห่งผลประโยชน์จะถือเป็นความผิดก็ต่อเมื่อมีการกระทำหรือการใช้อำนาจแล้ว ไม่ว่าจะเกิดประโยชน์แก่บุคคลต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่ก็ตาม
ค. พ.ร.บ. คุ้มครองติดตามทรัพย์สินของแผ่นดินคืนจากการทุจริต
เพื่อสร้างหลักประกันว่าทรัพย์สินของแผ่นดินที่ถูกโกงไปจะถูกนำกลับคืนมาได้ไม่ว่าจะถูกโยกย้ายซุกซ่อนอยู่ในหรือนอกประเทศแม้จะถูกแปรสภาพไปแล้วก็ตาม โดยกฎหมายนี้จะแสดงให้ประเทศอื่นเห็นว่า ไทยจะโอนย้ายทรัพย์สินที่เกิดจากการคอร์รัปชันของชาติอื่นกลับคืนไปเช่นกันตามหลักการในอนุสัญญา UNCAC 2003
กฎหมายนี้ยังกำหนดให้คนโกงและผู้ใดก็ตามที่รู้เห็นเป็นใจ ผู้สนับสนุนช่วยเหลือด้วยประการใดๆ ต้องส่งคืน รับผิดชอบและชดใช้ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น และหากผู้กระทำเช่นว่านั้นเป็นนิติบุคคล คนที่เป็นปรึกษา กรรมการและผู้จัดการของนิติบุคคลก็ต้องร่วมรับผิดด้วย โดยความรับผิดนี้ไม่มีอายุความ
2.2 กฎหมายสำคัญ 4 ฉบับ ที่จะช่วยสร้างเงื่อนไขสู่ความสำเร็จในการแก้ปัญหาคอร์รัปชันระยะยาว
ก. พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ พ.ศ. ...
เพื่อเป็นเครื่องมือปฏิรูประบบราชการให้มีการนำข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่ไปใช้ประโยชน์เพื่อให้เกิดการพัฒนาและการตรวจสอบอย่างบูรณาการ อีกทั้งยังสอดคล้องกับแนวทางรัฐบาลดิจิตอลและหลักการของ UNCAC 2003 ด้วย กฎหมายนี้จะช่วยสร้างความโปร่งใสในการดำเนินงานของรัฐ เพื่อสร้างความรับผิดชอบในการใช้งบประมาณ การดำเนินโครงการและการบริหารงานของรัฐ และจะส่งผลให้การทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีระเบียบวินัยและความรับผิดชอบ ซึ่งที่ผ่านมาการบังคับใช้ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารฯ พ.ศ. 2540 มีปัญหาอยู่มากจึงสมควรยกเลิกไป
กฎหมายใหม่นี้ต้องการทำให้การเปิดเผยข้อมูลเป็นเรื่องบังคับและได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย ข้อมูลต้องถูกเปิดเผยโดยเร็วในรูปแบบที่เหมาะสม เป็นระบบและเข้าถึงง่าย ซึ่งสอดคล้องกับหลักการในร่างรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิของประชาชนและผู้บริโภคในการรับรู้ข้อมูลสารสาธารณะ และแนวทางการปฏิรูปประเทศที่ให้มีการพัฒนาระบบสารสนเทศ ระบบการให้ข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองของรัฐ
ข. การจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
เพื่อให้การดำเนินคดีเอาผิดและลงโทษคนโกงเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เป็นการจัดตั้งศาลชำนัญพิเศษที่มีความชำนาญในการพิจารณาคดีทุจริตประพฤติมิชอบที่ใช้วิธิพิจารณาคดีแบบไต่สวนเช่นเดียวกับ ป.ป.ช.
ค. ตรา พ.ร.บ. การโฆษณาประชาสัมพันธ์ภาครัฐฯ
เพื่อป้องกันคอร์รัปชันและการแทรกแซงครอบงำสื่อมวลชนด้วยงบประมาณและทรัพยากรของรัฐ โดยกำหนดเงื่อนไขการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสมและวางกลไกตรวจสอบการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้เป็นไปอย่างคุ้มค่า ไม่รั่วไหล เพื่อให้เกิดประโยชน์กับหน่วยงานและประชาชน มิใช่ประโยชน์ส่วนตัวหรือเพื่อประชาสัมพันธ์ตัวผู้มีอำนาจและพรรคการเมือง
ง. จัดตั้งสถาบันวิเคราะห์งบประมาณประจำรัฐสภา
เพื่อเป็นกลไกถ่วงดุลการใช้อำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากการจัดทำงบประมาณของประเทศ โดยจัดตั้งสถาบันทางวิชาการที่เป็นอิสระและเป็นกลาง ดำเนินงานตามหลักวิชาการ มีระบบศึกษา ติตตามและประเมิน เก็บรวบรวมข้อมูลการใช้งบประมาณ มีการวิเคราะห์เพื่อให้การจัดทำงบประมาณสอดคล้องกับผลประโยชน์ระยะสั้นและระยะยาวของประเทศ โดยศึกษาความสัมพันธ์กับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของชาติ
ความเห็น
กฎหมายเหล่านี้จะเป็นหลักประกัน เป็นกติกาและเป็นแนวทางปฏิบัติของสังคมที่มีความหลาก หลายและเมื่อนำมาใช้รวมกัน กฎหมายจะกลายเป็นเครื่องมือที่มีพลังในการส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันของประเทศ ช่วยให้การทำงานของรัฐมีความโปร่งใสและเป็นธรรม ลดโอกาสลดแรงจูงใจของนักการเมืองและข้าราชการในการแสวงหาอำนาจ และทำให้รัฐสามารถติดตามเอาผิดและลงโทษคนโกงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่จากการติดตามพบว่ากฎหมายที่บังคับใช้แล้ว คือ พ.ร.บ. อำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตฯ และ พ.ร.ฎ. การทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายฯ มีความก้าวหน้าในการนำไปทำความเข้าใจกับประชาชนและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติเพื่อให้เกิดการบังคับใช้ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายน้อยมาก ขณะที่กฎหมายสำคัญอื่นๆ ที่อยู่ในกระบวนการนิติบัญญัติก็ดำเนินไปอย่างล่าช้าและไม่แน่นอนเช่นเดียวกัน
ตัวอย่างเช่น เรื่องการจัดตั้งองค์กรอิสระคุ้มครองผู้บริโภคที่สามารถกระตุ้นให้ประชาชนได้เรียนรู้ประสบการณ์การต่อสู้กับถูกเอารัดเอาเปรียบการโกงเล็กโกงน้อยที่เป็นเรื่องใกล้ตัว กลับถูกตัดออกไปอย่างน่าเสียดาย จึงต้องขอให้ทุกท่านที่เกี่ยวข้องร่วมกันสร้างความเข้าใจและให้การสนับสนุนกฎหมายต่างๆ อย่างจริงจังต่อไป
มาตรการและกลไกการต่อต้านคอร์รัปชัน
มีการใช้อำนาจของรัฐบาลตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ อำนาจของ คสช. ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 44 เพื่อออกมาตรการและกลไกเพื่อแก้ปัญหาคอร์รัปชันของประเทศ ตามข้อเสนอแนะของภาคประชาชนและที่เป็นนโยบายของนายกรัฐมนตรีเอง โดยส่วนมากเป็นการคัดเลือกและออกแบบตามแนวทางสากล ที่มุ่งหวังให้มีความยืดหยุ่นหลากหลาย สอดคล้องกับสภาพสังคมและการเมืองไทย มาตรการและกลไกเหล่านี้บางเรื่องยังได้ผ่านการศึกษาและเสนอแนะของ สปช. และ สปท. ด้วย จึงทำให้เป็นที่ยอมรับร่วมกันของหลายฝ่ายในสังคม โดยมาตรการและกลไกที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันของประเทศได้เป็นอย่างดี มีดังนี้
การรณรงค์สร้างค่านิยม “คนไทยไม่โกงและไม่ยอมให้ใครโกง” ***
1. มีมติ ครม. และ คตช. ให้บรรจุหลักสูตร “โตไปไม่โกง” ในการเรียนการสอนนักเรียนชั้นประถมในโรงเรียนของรัฐทั่วประเทศ
2. การรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชันตามโครงการ “สำนึกไทยไม่โกง”
การบริหารจัดการ
1. ใช้ ม.44 ในการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว เช่น กรณีบุกรุกป่าสงวน และ โยกย้ายข้าราชการสีเทา
2. ออกคำสั่ง คสช.ที่ 69/2557 เรื่องมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการ เพื่อกระชับและเร่งรัดการติดตามแก้ไขปัญหา
3. สนับสนุนความเข้มแข็งของ ป.ป.ช. เช่น 1) การอนุมัติงบประมาณอย่างเพียงพอเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ให้แก่ ป.ป.ช. ในปีงบประมาณ 2558 2) บรรจุข้าราชการข้าราชการใหม่ ป.ป.ช. มากถึง 760 ตำแหน่ง
4. เพิ่มศักยภาพของ ป.ป.ท. เช่น เพิ่มบุคลากร แก้ไขกฎหมายให้มีความเป็นอิสระมากขึ้น
5. สนับสนุนการสร้างความสมบูรณ์ของระบบรัฐบาลอีเล็คทรอนิค e - GOV. และ มีมติ ครม. ให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์กร “รัฐบาลโปร่งใส” (Open Government Partnership - OGP) ***
6. ร่วมมือกับภาคเอกชนทำ “โครงการสังคายนากฎหมาย (Regulatory Guillotine)” โดยยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่เหมาะสมหรือหมดความจำเป็น เพื่อความสะดวกและลดภาระของประชาชน ลดปัจจัยหรือเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดคอร์รัปชัน จากกฎหมายที่มีมากกว่า 1 แสนฉบับ โครงการนี้ยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการใช้ พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกฯ และ พรฎ.การทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายฯ
มาตรการและกลไกใหม่เพื่อการต่อต้านคอร์รัปชัน
1. ตั้ง คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) โดยการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ***
คณะกรรมการนี้จัดตั้งโดยอำนาจของ คสช. เพื่อกำหนดนโยบายแนวทางในการต่อสู้กับคอร์รัปชันอย่างเร่งด่วน
2. ตั้ง ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) โดยการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ศูนย์นี้จัดตั้งตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ มีบทบาทเป็นหน่วยงานปฏิบัติและขับเคลื่อนนโยบายและ
มาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับคอร์รัปชันโดยเร่งด่วน เช่น
ก. บูรณาการงบประมาณ การขับเคลื่อนโครงการ การแลกเปลี่ยนข้อมูลและการทำคดีคอร์รัปชัน ***
ข.เปิดเว็บไซต์ ให้ประชาชนติดตามคดีคอร์รัปชันที่อยู่ในความสนใจของประชาชนเพื่อให้ทราบถึง การเร่งรัดคดีอย่างเอาจริงเอาจัง
ค. สนับสนุนบทบาทและความเข้มแข็งของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตประจำกระทรวง (ศปท.)ที่จัดตั้งอยู่แล้ว แต่มีข้อจำกัดในการทำงานอย่างมากทำให้ที่ผ่านมาไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร
3. ตั้ง คณะกรรมการนโยบายกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ที่กำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นระบบเพื่อแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันในรัฐวิสาหกิจ ***
4. มีมติ ครม. ให้ใช้ ข้อตกลงคุณธรรม (IP) มาตรการสร้างความโปร่งใสในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ภาครัฐ (CoST) มาตรการสร้างความโปร่งใสในการสกัดทรัพยากรธรรมชาติ (EITI)
5. จัดตั้งศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ **
6. นายกฯ ทำตัวเป็นแบบอย่างด้วยการมีนโยบายไม่ให้นำภาพตัวท่านเองไปขึ้นป้ายโฆษณาอย่างไม่มีเหตุผล ซึ่งสอดคล้องกับความพยายามแก้ไขปัญหาทุจริตในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ภาครัฐ
7. ให้หน่วยราชการบันทึกวิดีโอเทปการประมูลจัดซื้อจัดจ้างเพื่อเป็นหลักฐานเอาผิดหากมีการทุจริต
ความเห็น
มาตรการและกลไกที่มีในวันนี้ ยังมีข้อจำกัดในการขับเคลื่อนอยู่มากและในอนาคตอาจถูกยกเลิกหรือถูกบิดเบือนไปตามวาระและนโยบายของผู้นำรัฐบาลแต่ละยุค ส่วนกฎหมายแม้จะมีความยั่งยืนกว่า แต่มีบ่อยครั้งที่พบว่า ในทางปฏิบัติมักมีปัญหาในการออกกฎหมายลูก การตีความและการบังคับใช้ที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์เดิมที่ประชาชนคาดหวัง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการสร้างการรับรู้ของประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ปฏิบัติเสียแต่ต้น รวมถึงสร้างมาตรการกลไกต่างๆ เพื่อความคล่องตัวและให้เป็นเครื่องมือปฏิบัติของกฎหมายด้วย
บทสรุป
การปฏิรูปการต่อต้านคอร์รัปชันให้ได้ผลระยะยาว นอกจากต้องมีการรณรงค์สร้างความตื่นตัวและให้ความรู้กับประชาชน นักธุรกิจและเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างมียุทธศาสตร์ ต่อเนื่องและทุ่มเทแล้ว ผู้นำรัฐบาลยังต้องแสดงถึงความมุ่งมั่นและทำตนเป็นแบบอย่างที่ดี ให้ความร่วมมือและสนับสนุนด้วยการกำหนดนโยบายหรือกลไกที่ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการต่อต้านคอร์รัปชันได้อย่างหลากหลายและให้การปกป้องอย่างเหมาะสม รวมทั้งสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบและโครงสร้างที่สำคัญของสังคม เช่น กฎหมายที่ไม่เหมาะสมกับยุคสมัยแล้ว การปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปฏิรูปการศึกษา การแก้ไขระบบอุปถัมภ์ สร้างระบบการเมืองที่โปร่งใสและรับผิดชอบ เป็นต้น
น่ายินดีมากว่า กฎหมาย มาตรการและกลไกเพื่อการต่อต้านคอร์รัปชันเหล่านี้ มาจากการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐกับประชาชน ที่ผ่านการศึกษา เสนอแนะ คัดเลือก และออกแบบให้เหมาะสมกับสภาพสังคมไทย แม้ขณะนี้จะมีอุปสรรคอยู่มากในขั้นตอนปฏิบัติ แต่ถือได้ว่า “ผลงานการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันของประเทศในช่วงสองปีนี้ มีความก้าวหน้ามากที่สุดนับตั้งแต่มีการใช้รัฐธรรมนูญ ปี2540 เป็นต้นมา”