ป.ป.ช. อุ้มศาลปกครอง ?:กรณีแทรกแซงคดีปราสาทพระวิหาร”
การแทรกแซงอำนาจฝ่ายตุลาการ จึงไม่ยอมให้สำนักงานศาลปกครองส่งเอกสารให้แก่สำนักงาน ป.ป.ช. และมีความพยายามของคนใน ป.ป.ช. เองในการดึงเรื่องให้ล่าช้า
กรณีที่ “คณะผู้พิทักษ์ความเป็นธรรมภายในศาลปกครอง” ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังประธาน ป.ป.ช. ว่ามีการเปลี่ยนองค์คณะพิจารณาคดีปราสาทพระวิหารโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดเดิมได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นไต่สวนกรณีดังกล่าวแต่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จจนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดเดิมได้พ้นจากตำแหน่งไปก่อนเป็นเวลานานนับปี
จนกระทั่งต้นเดือนมิถุนายน 2559 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดปัจจุบันได้มีมติด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 4 ให้ยกคำร้องโดยอ้างว่า องค์คณะในศาลปกครองสูงสุดที่มีนายจรัญ หัตถกรรม เป็นหัวหน้าคณะ มิได้มีการประชุมกันอย่างเป็นทางการ เพียงแต่หารือกันอย่างไม่เป็นทางการ โดยไม่มีการบันทึกการประชุมองค์คณะฯ อยู่ในสารบบ
นอกจากนี้ ยังได้กล่าวอ้างด้วยว่า กรรมการ ป.ป.ช. บางคนเห็นว่า เรื่องผ่านมานานมากแล้ว หากมีการลงมติชี้มูลความผิดตุลาการศาลปกครองสูงสุดอาจสร้างความแตกแยกได้
( อ่านประกอบ:หวั่นแตกแยก ! ป.ป.ช. มติ ๕-๔ ยกคำร้อง “จรัญ” คดีเปลี่ยนองค์คณะปราสาทพระวิหาร)
เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจความเป็นของกรณีดังกล่าว ขอสรุปความเป็นมาของกรณีดังกล่าวดังนี้
“คณะผู้พิทักษ์ความเป็นธรรมภายในศาลปกครอง” ได้ทำหนังสือลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2553 ถึงประธานกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวหานายอักขราทร จุฬารัตน อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด
กับพวกว่า กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมและจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายใน 3 กรณีคือ
กรณีที่หนึ่ง : การจ่ายสำนวนคดีในศาลปกครองสูงสุดและการขอสละสำนวนคดีโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของกฎหมาย (คดีปราสาทพระวิหาร)
กรณีที่สอง : การส่งความเห็นเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ (คดีฟ้องขอให้เพิกถอนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน) และ
กรณีที่สาม : การแทรกแซงความเป็นอิสระของตุลาการศาลปกครองในการพิจารณาพิพากษาคดีโดยการย้ายตุลาการศาลปกครองบางคนที่ไม่ยอมพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามความประสงค์ของผู้บริหารศาลออกจากองค์คณะเดิมเพื่อให้ตุลาการฯ ในองค์คณะชุดที่แต่งตั้งใหม่พิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามความประสงค์ของผู้บริหาร
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดเดิมได้มีมติเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 ให้รับคำกล่าวหานายอักขราทร จุฬารัตน กับพวก ในกรณีที่หนึ่งและกรณีที่สองไว้พิจารณา โดยนายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช. ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการสำนักงานศาลปกครองแจ้งว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับเรื่องกล่าวหานายอักขราทร จุฬารัตน กับพวกว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม กรณีแทรกแซงและเปลี่ยนแปลงองค์คณะตุลาการในศาลปกครองสูงสุดโดยมิชอบและกรณีส่งความเห็นส่วนตนไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยไม่ส่งความเห็นขององค์คณะฝ่ายเสียงข้างมากไปด้วย คณะกรรมการ ป.ป.ช. ประสงค์จะขอทราบข้อเท็จจริงและขอเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาดังนี้
(1) ขอทราบว่าในคดีปราสาทพระวิหาร การที่องค์คณะที่ 2 (ที่มีนายจรัญ หัตถกรรม เป็นหัวหน้าคณะ) ได้มีการประชุมเกี่ยวกับคำสั่งศาลปกครองกลางที่กำหนดวิธีการชั่วคราว แล้วมีมติเป็นสองฝ่ายนั้นถือว่าองค์คณะที่ 2 ได้มีมติวินิจฉัยในเรื่องนี้แล้วหรือไม่ และนายจรัญ จะขอสละสำนวนโดยอ้างมาตรา 56 วรรคสาม (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542เนื่องจากคดีค้างการพิจารณาจำนวนมากได้หรือไม่
(2) ขอทราบว่าในคดีฟ้องขอให้เพิกถอนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน การที่นายจรัญ ส่งความเห็นของตนผ่านนายอักขราทร ประธานศาลปกครองสูงสุดในขณะนั้นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยมิได้จัดส่งความเห็นขององค์คณะฝ่ายเสียงข้างมากไปด้วย เป็นการปฏิบัติโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ อย่างไร
แต่ประธานศาลปกครองสูงสุดในขณะนั้น (นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) กลับไม่ยินยอมให้สำนักงานศาลปกครองชี้แจงโดยเสนอให้ ก.ศป. มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นการภายในโดยมีนายวิชัย ชื่นชมพูนุท เป็นประธาน ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวได้รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงสรุปได้ดังนี้
สำหรับคดีปราสาทพระวิหารนั้น จากการตรวจสอบเอกสารหลักฐานในสำนวนคดีดังกล่าว ไม่ปรากฏว่านายจรัญได้ทำบันทึกของตุลาการเจ้าของสำนวนและไม่ปรากฏรายงานกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการพิจารณาคดีดังกล่าวอยู่ในสำนวนคดี ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าในระหว่างที่นายจรัญ ครอบครองสำนวนคดีดังกล่าวอยู่นั้น องค์คณะที่ 2 มิได้มีมติใด ๆ เกี่ยวเนื่องกับการวินิจฉัยคดีดังกล่าวแต่อย่างใด
อนึ่ง ในกรณีที่ตุลาการเจ้าของสำนวนนำรายละเอียดของสำนวนคดีที่ยังมิได้จัดทำบันทึกตุลาการเจ้าของสำนวนและยังไม่ได้มีการนัดประชุมองค์คณะเกี่ยวกับคดีเพื่อมีมติตามที่ระเบียบกำหนดไปปรึกษาหารือตุลาการฯ คนใดคนหนึ่งในองค์คณะเพื่อขอทราบความเห็นเกี่ยวกับคดีไม่ว่าตุลาการฯ คนนั้นจะมีความเห็นเกี่ยวกับข้อหารืออย่างไร เป็นการดำเนินการนอกสำนวน ไม่ถือว่าการปรึกษาหารือ ในลักษณะเช่นนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อมีมติวินิจฉัยขององค์คณะนั้น ๆ ที่ชอบด้วยระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543
นอกจากนี้ คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ตรวจสอบสถิติคดีที่อยู่ในความครอบครองของนายจรัญ จนถึงวันที่นายจรัญขอสละสำนวนคดีคือวันที่ 13 สิงหาคม 2551 แล้ว ปรากฏว่า นายจรัญมีคดีที่ค้างพิจารณาอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งคดีดังกล่าวเป็นคดีที่อุทธรณ์คำสั่งเกี่ยวกับการกำหนดวิธีการชั่วคราวซึ่งต้องดำเนินการด้วยความรวดเร็ว หากนายจรัญรับคดีไว้พิจารณา อาจทำให้การพิจารณาคดีมีความล่าช้าได้ กรณีจึงมีเหตุผลอันสมควรที่นายจรัญจะขอสละสำนวนในคดีดังกล่าวได้
ส่วนคดีฟ้องขอให้เพิกถอนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น จากการตรวจสอบเอกสารในสำนวนคดีแล้ว ปรากฏว่า นายอักขราทร ประธานศาลปกครองสูงสุดในขณะนั้นได้จ่ายสำนวนคดีให้
องค์คณะที่ 2 เป็นผู้พิจารณาเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2551 และนายจรัญ หัวหน้าคณะ ได้รับเป็นตุลาการเจ้าของสำนวนเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2551
จากการตรวจสอบเอกสารในสำนวนคดีดังกล่าว ไม่ปรากฏว่า นายจรัญในฐานะตุลาการเจ้าของสำนวนได้จัดทำบันทึกของตุลาการเจ้าของสำนวนและไม่มีการนัดประชุมขององค์คณะเพื่อพิจารณาหรือดำเนินการใด ๆ ต่อไป อีกทั้งไม่ปรากฏรายงานกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการพิจารณาคดีดังกล่าวรวมไว้ในสำนวนคดี ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นับแต่นายจรัญครอบครองสำนวนคดีจนนายจรัญขอสละสำนวนคดี องค์คณะที่ 2 ยังไม่ได้มีการประชุมองค์คณะหรือมีมติใด ๆ และเมื่อประธานฯ (นายอักขราทร) ได้รับสำนวนคดีคืนแล้ว ได้มีคำสั่งให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป ดังนั้น จึงฟังไม่ได้ว่าได้มีการประชุมองค์คณะที่ 2ก่อนส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย จึงไม่มีความเห็นเสียงข้างมากที่จะต้องส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ
คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงจึงมีความเห็นว่า การดำเนินการของนายอักขราทรและนายจรัญ ทั้งสองคดีเป็นการใช้อำนาจของตุลาการในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีตามที่กฎหมายบัญญัติโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแล้ว
ประธานฯ (นายหัสวุฒิ) ได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งให้เสนอรายงานผลการสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นให้ ก.ศป. พิจารณา ซึ่ง ก.ศป. ได้พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบและมอบให้สำนักงานศาลปกครองแจ้งผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบต่อไป
จากนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติให้สำนักงาน ป.ป.ช. ไปสอบปากคำตุลาการศาลปกครองสูงสุดในกรณีทั้งสอง หลังจากสอบปากคำแล้ว ให้นำเข้าพิจารณาในคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาต่อไป
(อ่านประกอบ:ป.ป.ช. มีมติสอบปากคำ 3 ตุลาการคดีเปลี่ยนองค์คณะศาลปกครองสูงสุดกรณีปราสาทพระวิหาร )
หลังจากเวลาผ่านนาน 2 ปีครึ่งนับจากวันที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 ให้รับคำกล่าวหาดังกล่าวไว้พิจารณา คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพิ่งมีมติเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2556 ให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีดังกล่าว ซึ่งสาเหตุที่การดำเนินการดังกล่าวล่าช้าเนื่องจากประธานศาลปกครองสูงสุด (นายหัสวุฒิ) อ้างว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจในการ
ไต่สวนคดีดังกล่าวเพราะเป็นการแทรกแซงอำนาจฝ่ายตุลาการ จึงไม่ยอมให้สำนักงานศาลปกครองส่งเอกสารให้แก่สำนักงาน ป.ป.ช. และมีความพยายามของคนใน ป.ป.ช. เองในการดึงเรื่องให้ล่าช้า กล่าวคือ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ให้ไปสอบปากคำตุลาการศาลปกครองสูงสุดและอดีตตุลาการฯ จำนวน 5 คน ที่เป็นองค์คณะแรกที่มีการพิจารณาคดีดังกล่าวและผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน แต่เวลาผ่านไปนานกว่า 1 ปี กลับไม่มีการออกหนังสือเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำ จนต้องมีการสอบถามกันในที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. และเพิ่งมีการดำเนินการสอบปากคำเมื่อประมาณต้นปี 2556 เพื่อยืนยันข้อเท็จจริง
หลังจากนั้น นายวิชัย วิวิตเสวี ประธานอนุกรรมการไต่สวน ได้กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ได้นำเสนอสำนวนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้วและไม่ต้องทำการสอบเพิ่มเติมแล้ว เพียงแต่แก้ไขสำนวนการไต่สวน 1-2 จุดเท่านั้น โดยขณะนี้มีผู้ถูกกล่าวหาเพียงรายเดียวคือนายจรัญ ส่วนนายอักขราทร พยานหลักฐานไปไม่ถึง คาดว่าไม่เกินเดือนพฤศจิกายน 2558 จะสามารถสรุปคดีได้ โดยกล่าวว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเพียงการคืนสำนวน ไม่ได้เกี่ยวกับการเปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษา
(อ่านประกอบ : “จรัญโดน-อักขราทรรอด! คดีเปลี่ยนองค์คณะปราสาทพระวิหาร ป.ป.ช. สรุป พ.ย.)
จากสรุปความเป็นมาดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ “คณะผู้พิทักษ์ความเป็นธรรมภายในศาลปกครอง” ได้ทำหนังสือลงวันที่ 27กรกฎาคม 2553 ถึงประธานกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวหานายอักขราทร กับพวก ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 ให้รับคำกล่าวหาไว้พิจารณา มีการดึงเรื่องไว้จนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดเดิมได้พ้นจากตำแหน่งไปเพราะครบวาระ
เมื่อมีการเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดปัจจุบันเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2559 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 4 ให้ยกคำร้องโดยฝ่ายเสียงข้างมากใช้เหตุผลที่ว่าองค์คณะที่ 2 ที่มีนายจรัญ เป็นหัวหน้าคณะมิได้มีการประชุมกันอย่างเป็นทางการ เพียงแต่หารือกันอย่างไม่เป็นทางการ และไม่มีรายงานกระบวนการพิจารณาเกี่ยวกับการพิจารณาคดีดังกล่าวอยู่ในสำนวนคดี
ถ้าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ยกคำร้องโดยอาศัยเหตุผลดังกล่าวจริง ขอนำเสนอข้อกฎหมายและข้อพิจารณาตามประเด็นที่นายวิชัย วิวิตเสวี ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการสำนักงานศาลปกครองขอทราบข้อเท็จจริงและขอเอกสารหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณา ดังต่อไปนี้
(1) ในคดีปราสาทพระวิหาร นายวิชัย วิวิตเสวี ได้ขอทราบข้อเท็จจริงไปใน 2 ประเด็นคือ
ประเด็นที่หนึ่ง การที่องค์คณะที่ 2 ได้มีการประชุมเกี่ยวกับคดีดังกล่าว แล้วมีมติเป็นสองฝ่ายนั้น ถือว่าองค์คณะที่ 2 ได้มีมติวินิจฉัยในเรื่องนี้แล้วหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการที่ ก.ศป. ได้มีมติแต่งตั้งขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงได้สรุปผลการตรวจสอบว่า จากการตรวจสอบเอกสารหลักฐานในสำนวนคดีดังกล่าว ไม่ปรากฏว่านายจรัญได้ทำบันทึกของตุลาการเจ้าของสำนวนและไม่ปรากฏรายงานกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการพิจารณาดังกล่าวอยู่ในสำนวนคดี ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าองค์คณะที่ 2 มิได้มีมติใด ๆ เกี่ยวเนื่องกับการวินิจฉัยคดีดังกล่าวแต่อย่างใด
ในประเด็นนี้ นายวิชัย วิวิตเสวี ได้มีหนังสือ ลงวันที่ 19 กันยายน 2554 ถึงเลขาธิการสำนักงานศาลปกครองแจ้งว่า ตามพยานเอกสารที่ผู้กล่าวหาส่งไปประกอบคำกล่าวหานั้นเป็นร่างคำสั่งในคดีดังกล่าวขององค์คณะที่ 2 จำนวน 2 ฉบับ โดยฉบับแรก จำนวน 36 หน้า มีตุลาการฯ (ที่เป็นฝ่ายเสียงข้างมาก) จำนวน 3 คน ลงลายมือชื่อไว้แล้ว ส่วนฉบับที่ 2จำนวน 23 หน้า มีเพียงนายจรัญ เจ้าของสำนวนลงลายมือชื่อแต่เพียงผู้เดียว
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงยังมีข้อสงสัยว่าองค์คณะที่ 2 ได้มีการพิจารณาและมีมติวินิจฉัยคดีดังกล่าว แล้วจัดทำร่างคำสั่งจำนวนสองร่างตามคำกล่าวหาจริงหรือไม่ ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เป็นประการใด จึงขอให้แจ้งข้อเท็จจริงและจัดส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมดังกล่าวไปยังสำนักงาน ป.ป.ช.
สำนักงานศาลปกครองได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงที่มีนายวิชัย ชื่นชมพูนุท เป็นประธาน เพื่อพิจารณา ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวได้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานในสำนวนคดีดังกล่าวแล้ว ไม่ปรากฏรายงานกระบวนพิจารณาอันจะนำไปสู่การมีร่างสำเนาคำสั่งทั้งสองฉบับดังกล่าว และไม่ปรากฏว่ามีคำสั่งที่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาให้จัดทำร่างต้นฉบับคำสั่งทั้งสองฉบับหรือฉบับใดฉบับหนึ่งรวมสำนวนไว้แต่ประการ กรณีจึงฟังได้ว่า สำเนาร่างคำสั่งทั้งสองฉบับเป็นเอกสารนอกสำนวน ดังนั้น เมื่อสำเนาร่างคำสั่งทั้งสองฉบับเป็นเอกสารนอกสำนวน จึงไม่อาจรับรองสำเนาเอกสารส่งไปยังสำนักงาน ป.ป.ช. ได้
ประธานฯ (นายหัสวุฒิ) ได้มีคำสั่งให้เสนอ ก.ศป. เพื่อพิจารณา ก.ศป.
ได้พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่คณะกรรมการดังกล่าวเสนอและมอบให้สำนักงานศาลปกครองแจ้งผลการสอบข้อเท็จจริงให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบต่อไป
จากนั้น นายวิชัย วิวิตเสวี ได้ดำเนินการสอบปากคำตุลาการฯ และอดีตตุลาการฯ ที่เป็นองค์คณะที่ 2 ที่มีการพิจารณาคดีดังกล่าวและได้เชิญตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุดไปสอบถามเกี่ยวกับวิธีพิจารณาและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการพิจารณาคดีในศาลปกครองสูงสุด
แต่ไม่ทราบผลการสอบปากคำบุคคลดังกล่าว
ประเด็นที่สอง นายจรัญ จะขอสละสำนวนโดยอ้างมาตรา 56 วรรคสาม (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 เนื่องจากคดีค้าง
การพิจารณาจำนวนมากได้ หรือไม่
ในประเด็นนี้ เมื่อตรวจสอบข้อกฎหมายและสอบถามผู้รู้แล้วพอสรุปได้ดังนี้
(1) การจ่ายสำนวนคดีต้องเป็นไปตามบทบัญญัติในมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ โดยมีหลักเกณฑ์ ดังนี้
- การจ่ายสำนวนคดีให้แก่องค์คณะนั้น ประธานฯ ต้องจ่ายสำนวนคดีให้แก่องค์คณะหนึ่งองค์คณะใดตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา 56 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
- การจ่ายสำนวนคดีภายในองค์คณะ หัวหน้าคณะอาจจ่ายสำนวนคดีให้แก่ตุลาการฯ คนหนึ่งในองค์คณะเป็นตุลาการเจ้าของสำนวน โดยหัวหน้าคณะอาจรับเป็นตุลาการเจ้าของสำนวนเองก็ได้
- ตุลาการเจ้าของสำนวนเป็นผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาในขั้นตอนต่าง ๆ เกี่ยวกับคดีนั้น โดยจะต้องจัดทำบันทึกสรุปสำนวน รายงานกระบวนพิจารณาของแต่ละคดีและจัดทำร่างคำพิพากษาหรือคำสั่งด้วย
- การประชุมองค์คณะ ปกติจะประชุมสัปดาห์ละ ๑ ครั้ง แต่ในกรณีเร่งด่วน (เช่น มีคำขอวิธีการชั่วคราว) หรือเป็นคดีสำคัญ หัวหน้าคณะอาจนัดประชุมเป็นนัดพิเศษเพิ่มเติมจากการนัดประชุมประจำสัปดาห์ได้
(2) การขอสละสำนวนคดีต้องเป็นไปตามบทบัญญัติในมาตรา 56 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
- เมื่อประธานฯ ได้สั่งจ่ายสำนวนคดีให้แก่องค์คณะใดแล้ว ห้ามมิให้มีการเรียกคืนสำนวนคดีหรือโอนสำนวนคดี
- เมื่อหัวหน้าคณะได้จ่ายสำนวนคดีให้แก่ตุลาการฯ คนหนึ่งคนใดในองค์คณะให้เป็นตุลาการเจ้าของสำนวนแล้ว ห้ามมิให้มีการเรียกคืนสำนวนคดีหรือโอนสำนวนคดี
- หลักดังกล่าวข้างต้นมีข้อยกเว้นอยู่ใน 3 กรณีคือ เมื่อมีการโอนคดีตามที่กำหนดไว้ในระเบียบฯ เมื่อมีการคัดค้านตุลาการฯ และเมื่อตุลาการเจ้าของสำนวนมีคดีค้างการพิจารณาอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งจะทำให้การพิจารณาคดีล่าช้าและตุลาการเจ้าของสำนวนขอสละสำนวนที่ตนรับผิดชอบอยู่หรือองค์คณะมีคดีค้างการพิจารณาอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งจะทำให้การพิจารณาคดีล่าช้าและองค์คณะขอสละสำนวนคดีที่ตนรับผิดชอบอยู่
- การสละสำนวนโดยตุลาการเจ้าของสำนวนนั้น ตุลาการเจ้าของสำนวนจะต้องหารือกับองค์คณะก่อน เมื่อองค์คณะไม่ขัดข้อง หัวหน้าคณะก็จะมีคำสั่งอนุญาตให้ตุลาการเจ้าของสำนวนเดิมสละสำนวนได้ แล้วแต่งตั้งตุลาการฯ คนอื่นในองค์คณะให้เป็นตุลาการเจ้าของสำนวนคนใหม่แทนคนเดิม
- การสละสำนวนโดยองค์คณะเป็นอำนาจหน้าที่ขององค์คณะ จึงต้องมีการปรึกษากันภายในองค์คณะก่อนและได้รับความเห็นชอบจากองค์คณะแล้ว หัวหน้าคณะเพียงคนเดียวย่อมไม่อาจสละสำนวนโดยที่มิได้ปรึกษาและขอความเห็นชอบจากองค์คณะได้
- การสละสำนวนโดยองค์คณะภายหลังจากที่องค์คณะได้ประชุมปรึกษาคดีและลงมติวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว จะกระทำมิได้
จากข้อกฎหมายดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า การสละสำนวนโดยตุลาการเจ้าของสำนวนจะต้องได้รับความเห็นชอบจากหัวหน้าคณะ ซึ่งหัวหน้าคณะก็จะต้องแต่งตั้งตุลาการฯ
คนอื่นในองค์คณะให้เป็นตุลาการเจ้าของสำนวนคนใหม่แทนคนเดิม ส่วนการสละสำนวนโดยองค์คณะ ตุลาการเจ้าของสำนวนและหัวหน้าคณะไม่มีอำนาจขอสละสำนวนต่อประธานฯ ได้ด้วยตนเองแต่จะต้องมีการปรึกษาและได้รับความเห็นชอบจากองค์คณะเสียก่อน
ดังนั้น การสละสำนวนขององค์คณะโดยนายจรัญในฐานะหัวหน้าคณะเพียงคนเดียวและโดยไม่มีข้อเท็จจริงว่าปริมาณคดีที่ค้างการพิจารณาอยู่ในองค์คณะที่ 2 ทั้งองค์คณะมีอยู่เป็นจำนวนมากและมากกว่าปริมาณคดีที่ค้างอยู่ในการพิจารณาขององค์คณะอื่น ๆ และการที่ประธานฯ อนุมัติให้นายจรัญสละสำนวนแทนองค์คณะได้ จึงไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายได้กำหนดไว้อย่างชัดแจ้ง
เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นการสละสำนวนในฐานะตุลาการเจ้าของสำนวนหรือเป็นการสละสำนวนโดยองค์คณะก็ตาม ถ้าได้มีการประชุมปรึกษาคดีโดยองค์คณะและองค์คณะได้มีมติวินิจฉัยชี้ขาดคดี ตลอดจนได้มีการลงนามในร่างคำวินิจฉัยโดยตุลาการฯฝ่ายเสียงข้างมากจำนวน 3 คนแล้ว นายจรัญซึ่งเป็นฝ่ายเสียงข้างน้อยย่อมไม่อาจสละสำนวนได้ และประธานก็ไม่อาจอนุมัติให้มีการสละสำนวนได้ มิฉะนั้น จะเป็นการขัดต่อหลักที่ว่าเมื่อได้มีการจ่ายสำนวนคดีให้แก่องค์คณะหนึ่งองค์คณะใดหรือให้แก่ตุลาการเจ้าของสำนวนคนหนึ่งคนใดแล้ว ห้ามมิให้มีการเรียกคืนสำนวนคดีหรือโอนสำนวนคดีและเท่ากับเป็นการทำลายหลักประกันความเป็นอิสระของตุลาการในการพิจารณาพิพากษาคดี และมีข้อพิจารณาว่าเหตุใดประธานฯ (นายอักขราทร) จึงได้สั่งให้มีการโอนคดีดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาขององค์คณะที่ 1 (ที่มีประธานฯ เป็นหัวหน้าคณะ) เป็นคดีแรกตั้งแต่มีการเปิดทำการศาลปกครองสูงสุด
นอกจากนี้ ยังมีข้อพิจารณาอีกด้วยว่าภายหลังจากที่ประธานฯ (นายอักขราทร) ได้อนุมัติเมื่อวันที่ 13สิงหาคม 2551 ให้นายจรัญสละสำนวนคดีปราสาทพระวิหารโดยที่มิได้รับความเห็นชอบจากองค์คณะที่ 2 แล้ว ต่อมาเมื่อประธานฯ ได้รับคำฟ้องในคดีที่ขอให้เพิกถอนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2551 เหตุใดประธานฯ จึงยังคงจ่ายสำนวนคดีดังกล่าว ให้แก่องค์คณะที่ 2 อีก และเหตุใดนายจรัญในฐานะหัวหน้าคณะจึงยังคงรับเป็นตุลาการเจ้าของสำนวนคดีดังกล่าวอีก ทั้ง ๆ ที่เวลาผ่านไปเพียง 20 วัน คดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของนายจรัญและคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบขององค์คณะที่ 2 ย่อมจะไม่ลดลงไปกว่าเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2551 อย่างแน่นอน
(2) ในคดีที่ขอให้เพิกถอนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน นายวิชัย วิวิตเสวี ได้ขอทราบข้อเท็จจริงว่า การที่นายจรัญ ส่งความเห็นของตนผ่านประธานฯ (นายอักขราทร) ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยมิได้จัดส่งความเห็นขององค์คณะฝ่ายเสียงข้างมากไปด้วย เป็นการปฏิบัติโดยถูกต้องตามกฎหมาย หรือไม่ อย่างไร ซึ่งคณะกรรมการที่ ก.ศป. ได้มีมติแต่งตั้งมาตรวจสอบข้อเท็จจริงได้สรุปผลการตรวจสอบว่า ไม่ปรากฏรายงานกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการพิจารณาคดีดังกล่าวรวมไว้ในสำนวนคดีจึงฟังได้ว่านับแต่นายจรัญครอบครองสำนวนคดีจนนายจรัญขอสละสำนวนคดี องค์คณะที่ ๒ ยังไม่ได้มีการประชุมองค์คณะหรือมีมติใด ๆ และเมื่อประธานฯ (นายอักขราทร) ได้รับสำนวนคดีคืนแล้ว ได้มีคำสั่ง
ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
เมื่อตรวจสอบข้อกฎหมายและสอบถามผู้รู้แล้วพอสรุปได้ว่า การจะส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้นั้น จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา 211วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญฯ ซึ่งบัญญัติว่า “มาตรา 211 ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 6 และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย ในระหว่างนั้น ให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้ แต่ให้รอการพิจารณาไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ” จากบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่า การจะส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ “ศาล” จะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด แล้ว “ศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญให้ “ศาล” ส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัยในระหว่างนั้นให้ “ศาล” ดำเนินการพิจารณาต่อไปได้ แต่ให้รอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่ง “ศาล” ตามนัยมาตรา 211 ของรัฐธรรมนูญฯ ย่อมหมายถึงศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนั้นได้ ซึ่งในกรณีของศาลปกครองสูงสุด “ศาล” ที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีก็คือองค์คณะที่ประกอบด้วยตุลาการฯ อย่างน้อย 5 คน ซึ่งได้รับการจ่ายสำนวนให้เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีนั้น การพิจารณาพิพากษาคดีปกครองไม่อาจกระทำโดยตุลาการฯ คนเดียวได้ ซึ่งหมายความว่าประธานศาลปกครองสูงสุดไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครองได้แต่เพียงผู้เดียว
ในเมื่อคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงที่มีนายวิชัย ชื่นชมพูนุท เป็นประธานยืนยันว่าในระหว่างที่นายจรัญครอบครองสำนวนคดีอยู่ เป็นเวลา 1 วัน นั้น องค์คณะที่ 2 มิได้มีการประชุมหรือมีมติใด ๆ และประธานฯ (นายอักขราทร) ได้รับสำนวนคดีคืนมาแล้ว ก็ได้มีคำสั่งให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเลย โดยมิได้จ่ายสำนวนคดีนั้นให้แก่องค์คณะอื่น ก็เท่ากับว่าประธานฯ (นายอักขราทร) เป็นผู้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยตนเอง ทั้ง ๆ ที่ในขณะนั้น ยังมิได้มีองค์คณะใดเป็นผู้พิจารณาพิพากษาคดีนั้น จึงไม่มีองค์คณะใดที่จะเป็นผู้พิจารณาว่า จะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมาย (มาตรา 16แห่งพระราชกำหนดดังกล่าว) บังคับแก่
คดีดังกล่าว จึงไม่มีองค์คณะใดในศาลปกครองสูงสุดนอกจากประธานฯ (นายอักขราทร) แต่เพียงผู้เดียวที่มีความเห็นว่า มาตรา 16 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งในเมื่อประธานฯ (นายอักขราทร) เพียงคนเดียวไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวได้ ความเห็นที่ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นเพียงความเห็นของประธานฯ) มิใช่ความเห็นของ “ศาล” (องค์คณะ) ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ซึ่งเท่ากับว่าคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงได้ยืนยันข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่าการที่ประธานฯ ได้ส่งความเห็นของตนไปยังศาลรัฐธรรมนูญนั้นเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ ซึ่งที่ผ่านมา วิธีปฏิบัติของศาลปกครองในการส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นศาลปกครองชั้นต้นหรือศาลปกครองสูงสุด ก็กระทำโดยองค์คณะที่พิจารณาพิพากษาคดีนั้นทั้งสิ้น โดยองค์คณะที่พิจารณาพิพากษาคดีนั้นเป็นผู้ทำความเห็นและให้ตุลาการในองค์คณะนั้นร่วมกันลงนามในความเห็นขององค์คณะที่จะส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น การที่ประธานฯ เป็นผู้ส่งเรื่องไปเองจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าวของรัฐธรรมนูญ และเป็นการแสดงให้เห็นว่าเหตุที่มีการส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญในคดีดังกล่าวโดยวิธีพิเศษซึ่งแตกต่างไปจากวิธีปฏิบัติที่เคยทำกันมาโดยตลอด ก็เป็นเพราะว่าได้มีการนัดประชุมองค์คณะที่ 2 เพื่อพิจารณาคดีดังกล่าวแล้ว องค์คณะที่ 2 โดยเสียงข้างมากมีมติว่ามาตรา 16 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวมิได้ขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ แต่อย่างใด จึงไม่มีกรณีที่จะต้องส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 211 ของรัฐธรรมนูญฯ แต่ประธานฯ ก็ยังยืนยันที่จะส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
จากข้อกฎหมายและข้อพิจารณาดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนจึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ออกมาชี้แจงว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติให้ยกคำร้องในคดีดังกล่าวจริงหรือไม่ และด้วยเหตุผลใด