บทเรียนจากอัสสัมชัญลำปาง
"..ทุกคนย่อมมีโรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่ตนรัก การที่ผมพูดถึงโรงเรียนและมหาวิทยาลัยของผม มิใช่เพื่อบอกว่าเป็นเลิศ ไม่มีจุดอ่อน ข้อบกพร่อง หรือดีกว่าสถาบันการศึกษาอื่นใด โรงเรียนและมหาวิทยาลัยของผมทุกวันนี้ก็มีปัญหาต่างๆกันไป เป็นเรื่องของแต่ละแห่งต้องว่ากันไป.."
ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ โพตส์บทความในเฟซบุ๊กส่วนตัวเรื่อง เขียนถึงอัสสัมชัญลำปาง
---------
เขียนถึงอัสสัมชัญลำปาง โรงเรียนในวันเยาว์ ที่เพิ่งผ่านไปนั้น เขียนไปบรรทัดต่อบรรทัด ย่อหน้าต่อย่อหน้า โดยไม่มีเข็มทิศไม่มีพล็อต
เหมือนอภินิหาร พอจบบรรทัดสุดท้ายย้อนกลับมาอ่านใหม่ แปลกใจ "เอ๋ ดีแฮะ" อ่านแล้วได้แง่คิดได้ความรู้สึก เกิดอาการ "อิ่มทิพย์" กลายๆ
อาจเป็นเพราะสร่างไข้ อาจเป็นเพราะเป็นความทรงจำที่ลึกมากๆ อาจเป็นเพราะความประทับใจ อาจเพราะเป็นความรักสุดหัวใจ แต่นั่นคงบวกเข้าไปกับอายุ ชีวิตและการงานที่โชกโชน และการอ่านหนังสือ อ่านคน อ่านงาน มานานเป็นพิเศษ
ที่พิศวงอีกอย่าง งานเขียนนั้น เราเขียนขึ้นมาเอง เป็นเจ้าของมัน ใช้มันไปทำงาน แต่ " เอ๊ย " มันกลับมาสอนเราได้อีก เมื่อลงมืออ่านมันซ้ำแล้วซ้ำอีก "อ้าว" ไหนใครเขาว่าทำอะไรซ้ำๆ จะไม่สร้างสรรค์
ถ้าผู้อ่านจะกรุณาถามว่าการ"เขียนถึงโรงเรียนในวันเยาว์" เมื่อวานนั้นสอนอะไรผมบ้าง?
คำตอบคือ
อย่างแรก การศึกษาที่ดีแบบอัสสัมชัญหรือเซนต์คาเบรียลนั้น ไม่จำกัดไว้แต่ในกรุงเทพฯ หากเกิดขึ้นได้จริงทุกหนแห่งในประเทศ ศิษย์เก่า รร อัสสัมชัญศรีราชาท่านหนึ่งบอกผมว่าเรื่องดีคนดีที่ผมเล่านั้นเกิดขึ้นคล้ายกันที่ศรีราชา ผมบอกเขาว่าพี่ชายคนโตของผมที่เคยเรียนที่มงฟอร์ตก็มีเรื่องทำนองนี้เล่าอย่างภาคภูมิใจ
ชะรอย การสร้าง รร ตามแบบฉบับอัสสัม-เซนต์ในทุกที่ในต่างจังหวัดคงเป็น ราว "ตำนาน" เช่นนี้ เหมือนกันหมด ตำนานการสร้างโรงเรียนดีนั้นเกิดได้ทุกแห่งนะครับ
บทเรียนข้อที่สอง การศึกษาดีไม่ได้มีขึ้นเอง ต้องสร้าง ล้วนต้องมีผู้นำสร้าง ต้องมี "ฮีโร่" อย่างบราเดอร์เซราฟิน บราเดอร์ฟิลิปส์ บราเดอร์อิลเดฟองโซ บราเดอร์อเล็กซานเดอร์ ไปนำ และข้อที่น่าดีใจ "ฮีโร"และตำนานเหล่านี้มีได้ทุกที่ มี "ฮีโรใหม่" ได้ทำให้เกิดซำ้ได้ เอาบทเรียนเก่ามาใช้ในที่ใหม่ได้ ถ่ายทอดบทเรียนได้
นี่ย่อมไม่ใช่แค่บุคคลนำครับ
"สถาบันแบบ อัสสัม-เซนต์" ต่างหาก ครับ ที่ "นำ" อยู่ในภาพทั้งหลายที่ผมเล่า
บทเรียนที่สาม การศึกษาที่ดีเริ่มได้แต่วันแรก วันที่โรงเรียนเองยังไม่พร้อมเลยก็ต้องเริ่ม ตอนนั้นโรงเรียนยังเป็นเรือนไม้ ห้องส้วมยังเป็นส้วมหลุม ห้องสมุดยังไม่มี ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ไม่มี เครื่องมือมีน้อยมาก โรงยิมไม่มี สนามฟุตบอลแค่พอใช้ได้ แต่สิ่งที่มี สำคัญกว่า คือมีคณะภราดาและครูที่ไม่ประนีประนอมกับการศึกษาแบบขอไปทีใดๆทั้งสิ้น
นักเรียนและผู้ปกครองต้องละทิ้งความเคยชินเดิมๆ จะต้องพากันเชื่อก่อนว่าเด็กต่างจังหวัดก็จะเก่งได้ จะไม่แพ้เด็กกรุงตลอดไป ถ้ายังไม่ได้ก็ต้องอดทนต้องสู้ ไม่มีวันยอมแพ้
สมัยนี้ โรงเรียนและมหาวิทยาลัยจำนวนมากกลับทำตรงข้าม มีเครื่องมือมีแล็บมีคอมพิวเตอร์มีห้องสมุด แต่ครูอาจารย์และผู้บริหารประนีประนอมกับนักเรียนนักศึกษาที่เรียนแบบขอไปที แทนที่จะดึงเขาให้สูงขึ้นมา กลับลดลงไปอยู่ระดับเดียวกับเขา
การศึกษาในยุคผมเป็นเด็กนั้น ข้อที่อ่อนคือมีคนจำนวนไม่มากที่ได้เรียน แต่ข้อดีคือพยายามสู่ความเป็นเลิศ เมื่อมีโอกาสทุกคนจะโถมเข้าหามัน ไม่มีใครดึงมาตรฐานให้ต่ำลง ไม่กลัวยาก ไม่กลัวลำบาก ทำไม่เป็นทำใหม่ สอบไม่ผ่านเรียนใหม่ จากการเป็นอินพุทที่ไม่พร้อมเราจะทำให้ตัวเราเป็นเอาท์พุทในระดับเดียวกับเด็กกรุงเทพฯ
ทุกคนย่อมมีโรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่ตนรัก การที่ผมพูดถึงโรงเรียนและมหาวิทยาลัยของผม มิใช่เพื่อบอกว่าเป็นเลิศ ไม่มีจุดอ่อน ข้อบกพร่อง หรือดีกว่าสถาบันการศึกษาอื่นใด โรงเรียนและมหาวิทยาลัยของผมทุกวันนี้ก็มีปัญหาต่างๆกันไป เป็นเรื่องของแต่ละแห่งต้องว่ากันไป
แม้แต่โรงเรียนแรกต้นฉบับ รร. อัสสัมชัญที่กรุงเทพฯ เองก็เพิ่งผ่านพ้นวิกฤตใหญ่มาไม่นานนี้