วัยรุ่นจะได้อะไรจากกฎหมายป้องกันและแก้ไขปัญหาท้องในวัยรุ่น
เครือข่ายเยาวชนจะมีการรวบรวมความคิดเห็นจากเยาวชนทั่วประเทศ เพื่อเสนอแนะต่อ พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และจะยื่นข้อเสนอดังกล่าวในวันที่ 22 สิงหาคม 2559 ซึ่งจะมีการประชุมคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นในระดับชาติเป็นนัดแรก
เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มีการแถลงข่าว “พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น: เด็กเยาวชนได้ประโยชน์จริงหรือ?” โดยความร่วมมือของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNFPA Thailand) มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง มูลนิธิแพธทูเฮลท์ สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย และเครือข่ายยุวทัศน์ กรุงเทพมหานคร
เด็กและเยาวชนจะได้รับสิทธิประโยชน์ 5 เรื่องที่สำคัญคือ 1.สถานศึกษาต้องจัดให้มีการสอนเพศวิถีศึกษาอย่างเหมาะสม จัดหาและพัฒนาผู้สอนเพศวิถีศึกษา การให้คำปรึกษา ช่วยเหลือและคุ้มครองวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ให้ได้รับการศึกษาต่ออย่างเหมาะสม รวมทั้งส่งต่อให้ได้รับสวัสดิการสังคม 2. สถานบริการต้องให้ข้อมูลความรู้และจัดบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ รวมทั้งส่งต่อให้ได้รับสวัสดิการสังคม 3.สถานประกอบกิจการต้องให้ข้อมูลความรู้และส่งเสริมให้เข้าถึงบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ รวมทั้งส่งต่อให้ได้รับสวัสดิการสังคม 4.การจัดสวัสดิการสังคมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และ5. ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อคุ้มครองสิทธิของวัยรุ่น
ในโอกาสนี้ สสส.ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับพ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พศ 2559 โดยสอบถามนักเรียนในระดับชั้น ม.ต้น ม.ปลาย และ ปวช. ในพื้นที่ กทม.และ 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี และ สงขลา จำนวนทั้งสิ้น 3,053 ตัวอย่าง ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2559 พบว่า
สาเหตุที่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น อันดับ 1 คือ มาจากพฤติกรรมเลียนแบบจากกลุ่มเพื่อนและสื่อต่างๆ (73.9%) ตามด้วยอันดับ 2 การดื่มแอลกอฮอล์(73%) และอันดับ 3 การพักอาศัยอยู่ตามลำพังของวัยรุ่น โดยไม่มีผู้ปกครองอยู่ด้วย (72.7%)
ความคิดเห็นต่อการยอมรับหากเพื่อนสนิทที่เรียนอยู่ด้วยกันตั้งครรภ์ระหว่างเรียน พบว่า ส่วนใหญ่ 65.4% ยอมรับได้ ส่วน 28.4% ไม่แน่ใจ และ 6.2% ยอมรับไม่ได้ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าสัดส่วนการยอมรับได้ในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีจะลดน้อยลง คือ 58.3% เช่นเดียวกับสัดส่วนการยอมรับได้ในเพศหญิงจะสูงกว่าเพศชาย โดยเพศหญิงยอมรับได้อยู่ที่ 70.1% ส่วนเพศชาย 59.8%
สิ่งที่เด็กเยาวชนมองว่าจะได้รับสิทธิประโยชน์มากที่สุดจากกฎหมายป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น อันดับ 1 คือ การได้รับสิทธิรับบริการส่งเสริม ป้องกัน รักษา และฟื้นฟูที่เกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์ (99%) อันดับ 2 การได้รับข้อมูลข่าวสารและความรู้เกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์ (98.8%) อันดับ 3 หากเป็นพ่อแม่วัยรุ่นจะได้รับสิทธิในการจัดสวัสดิการที่เสมอภาค ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ (94%) อันดับ 4 การได้รับสิทธิคุ้มครองในการรักษาความลับ และความเป็นส่วนตัว (93.4%) และอันดับ 5 ให้สิทธิผู้ที่ตั้งครรภ์สามารถเรียนต่อได้ (87.3%)
สำหรับเสียงสะท้อนต่อโรงเรียนและสถานศึกษาภายหลังจากกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ สิ่งที่เด็กเยาวชนต้องการมากที่สุดคือ 1. การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาเพศศึกษาอย่างรอบด้าน และวิธีการคุมกำเนิด 2. โรงเรียนต้องประสานหรือหาแหล่งช่วยเหลือด้านสังคม และ 3. การจัดให้มีเจ้าหน้าที่ดูแลผู้ตั้งครรภ์ส่งต่อระบบสวัสดิการสังคม
ส่วนรูปแบบการบริการของคลินิกวัยรุ่นที่เด็กเยาวชนต้องการ หากมีความจำเป็นต้องเข้าไปรับคำปรึกษาหรือขอใช้บริการ พบว่า อันดับ 1. ความเป็นมิตรและปราศจากอคติของเจ้าหน้าที่ 1 (79.3%) อันดับ 2. ช่วยรักษาความลับของคนที่เข้ามาติดต่อ(74.2%) และอันดับ 3. ไม่คิดค่าใช้จ่ายหรือรักษาพยาบาลฟรี (70.1%) โดยช่องทางที่เด็กเยาวชนสะดวกที่สุดในการติดต่อคือ การโทรศัพท์สายด่วน ตามด้วยช่องทางการส่งข้อความทางอีเมล์ ไลน์ หรือเฟสบุค และการเข้าไปปรึกษาเจ้าหน้าที่คลินิกด้วยตนเอง เป็นอันดับสุดท้าย
“ที่น่าสนใจคือ เมื่อถามถึงความเห็นว่าหากเพื่อนสนิทกำลังตั้งครรภ์ในขณะที่เรียน และ พ.ร.บ.ประกาศใช้ จะมีผลให้เด็กเยาวชน 50% เลือกที่จะเรียนต่อจนกว่าจะคลอด ส่วนอีก 43.6% เลือกที่จะลาพักเพื่อคลอดก่อนแล้วกลับมาเรียนต่อ เท่ากับว่าหากโรงเรียนและครูพร้อมที่จะเปิดโอกาสก็จะช่วยลดปัญหาการออกกลางคันของเด็กเยาวชนได้ เนื่องจากที่ผ่านมา วัยรุ่นที่ประสบปัญหาตั้งครรภ์ในวัยเรียนจะตัดสินใจลาออกเป็นส่วนใหญ่” ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. กล่าว
นางสาวภัทรวดี ใจทอง รองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความคาดหวังจากการระดมความคิดเห็นของเครือข่ายเด็กและเยาวชน 11 เครือข่ายต่อพ.ร.บ.การป้องกันและแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พบว่า ครูจำนวนมากไม่ยอมสอนเรื่องเพศศึกษาในโรงเรียน และมีทัศนคติที่ไม่ดีมองว่านักเรียนที่มาปรึกษาคือตัวปัญหา ครูและผู้บริหารสถานศึกษาจึงต้องกล้าเปิดใจที่จะสอนและมีความรู้ความเข้าใจ ไม่ควรมองว่าเป็นการชี้โพรงให้กระรอก
หากนักเรียนคนใดตั้งท้องและไม่พร้อมที่จะเรียนต่อ ควรออกแบบรูปแบบการเรียนเป็นรายบุคคล ส่วนการใช้บริการจากคลินิกสุขภาพ ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยให้บริการและผู้เกี่ยวข้องต้องมีทัศนคติที่เป็นมิตร เก็บรักษาความลับ ไม่มีการบันทึกประวัติ
สำหรับวัยรุ่นที่ตัดสินใจที่เป็นพ่อแม่ ควรมีหน่วยงานรับดูแลลูกเล็กของวัยรุ่นในระหว่างที่พ่อแม่ไปเรียนหรือทำงาน และมีหน่วยฝึกอาชีพและสถานประกอบการรองรับ
ทั้งนี้เครือข่ายเยาวชนจะมีการรวบรวมความคิดเห็นจากเยาวชนทั่วประเทศ เพื่อเสนอแนะต่อ พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และจะยื่นข้อเสนอดังกล่าวในวันที่ 22 สิงหาคม 2559 ซึ่งจะมีการประชุมคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นในระดับชาติเป็นนัดแรก รวมทั้งเครือข่ายเยาวชนจะมีการติดตามการบังคับใช้กฎหมายนี้อย่างต่อเนื่อง
|