(นายธวัชชัย จิตร์ภาษ์นันท์ - ภาพจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ)
เมื่อวันที่ 6 มี.ค.2556 นายธวัชชัย จิตร์ภาษ์นันท์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เปิดเผยว่า ในการประชุม กสท.วันที่ 11 มี.ค.นี้ ตนจะรายงานผลการศึกษาเรื่องราคาตั้งต้นการประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการ (license) ทีวีดิจิตอลประเภทธุรกิจ จำนวน 24 ช่อง ที่คณะวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำการศึกษามา เบื้องต้น ราคาตั้งต้นช่องความละเอียดสูง (HD – High Definition) จะไม่เกิน 3 พันล้านบาท ส่วนช่องความละเอียดมาตรฐาน (SD - Standard Definition) จะไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยช่องทั่วไปแพงที่สุด รองลงมาคือช่องข่าว และช่องเด็ก เยาวชน และครอบครัว
นายธวัชชัย กล่าวว่า ราคาตั้งต้นนี้อยู่บน 2 ปัจจัยสำคัญ คือ 1.การตีความร่างประกาศ กสทช.ว่าด้วยหลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป (must carry) ที่ออกมาเพื่อป้องกันกรณีจอดำ ว่าหมายถึงให้ must carry ทุกแพล็ตฟอร์ม ทั้งภาคพื้นดินและดาวเทียมด้วย ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการให้บริการโครงข่าย (MUX) เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากต้องจ่ายค่าบริการให้กับดาวเทียม โดยผู้ให้บริการโครงข่ายจะผลักภาระมาที่ผู้ให้บริการช่อง ซึ่งจะทำให้ตั้งราคาตั้งต้นประมูลไลเซ่นส์สูงๆ ไม่ได้ เพราะกำไรส่วนเกินจะไม่มากพอ และ 2.เพดานการประมูล (cab) ที่สมมุติฐานเบื้องต้น คือสูงสุดได้ไม่เกินเจ้าละ 2 ช่อง เพราะหากปัจจัยทั้ง 2 นี้เปลี่ยนไป ก็จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคาตั้งต้นประมูลไลเซ่นส์ทีวีดิจิตอลประเภทธุรกิจ ที่อาจจะสูงขึ้นหรือต่ำลง
"ราคาที่ทีมวิจัยจุฬาฯเสนอมาถือว่าไม่แพงเลย อย่าลืมว่าไลเซ่นส์มีอายุถึง 15 ปี" นายธวัชชัยกล่าว
ด้าน น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช.และกรรมการ กสท.กล่าวว่า อีกประเด็นทีน่าเป็นห่วงคือการให้ไลเซ่นส์ทีวีดิจิตอลประเภทบริการสาธารณะ ที่จะใช้วิธีการประกวดราคา (beauty contest) ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าจะต้องมีการออกร่างประกาศ กสทช.เพื่อกำหนดรายละเอียดของคุณสมบัติ อีกเรื่องคือการนิยามว่าสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 กับสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ว่าจะต้องขอไลเซ่นส์ทีวีดิจิตอลประเภทบริการสาธารณะ ที่ไม่ต้องเข้าร่วมการประมูล หรือประเภทธุรกิจ ที่ต้องเข้าร่วมการประมูล
“ปัจจุบัน รายการต่างๆ ในช่อง 5 ดำเนินการโดยเอกชน จะมาอ้างเหตุผลว่าเป็นทีวีความมั่นคง เพื่อให้ได้รับไลเซ่นส์ประเภทบริการสาธารณะไม่ได้ เช่นเดียวกับช่อง 11 เว้นแต่ทั้ง 2 ช่องจะปรับตัว โดยช่อง 5 จะต้องทำให้มีเนื้อหาประเภทสาระ เกินกว่า 70% ของผังรายการ ส่วนช่อง 11 จะต้องเปิดพื้นที่ให้กับฝ่ายค้าน 30-50% ถ้าเป็นเช่นนี้ ถึงจะยอมยกมือโหวตให้ทั้ง 2 ช่อง ว่าเข้าข่ายได้รับไลเซนส์ประเภทบริการสาธารณะ” น.ส.สุภิญญากล่าว