ศาลฎีกาฯจำคุกอดีตเลขาฯ รมช.มหาดไทยปมถือหุ้นแทนลูกชาย“วัฒนา”60 ล.
ศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุก“จตุพัฒน์”อดีตเลขาฯ รมช.มหาดไทย“สิทธิชัย โควสุรัตน์”แจ้งบัญชีฯเท็จ ปมถือหุ้นบ.อสังหาฯแทน“พิบูลย์ อัศวเหม”60 ล้าน ไม่แจ้งข้อเท็จจริง ป.ป.ช. ห้ามเล่นการเมือง 5 ปี รอลงโทษ 1 ปี
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษาจำคุกนายจตุพัฒน์ บารมี อดีตผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายสิทธิชัย โควสุรัตน์) เป็นเวลา จำคุก 4 เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ในความผิดกรณียื่นจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบโดยปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่านายจตุพัฒน์ บารมี ผู้คัดค้านได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สองครั้ง ครั้งแรกวันที่ 26 ก.พ.51 และครั้งที่สอง 2 วันที่ 9 ต.ค.51 และพ้นตำแหน่งครั้งแรกวันที่ 2 ส.ค.51 และพ้นครั้ง 2 วันที่ 22 ธ.ค.51
ในการยื่นบัญชีฯรับตำแหน่งและพ้นตำแหน่ง ทั้ง 2 ครั้ง นายจตุพัฒน์ระบุว่ามีเงินลงทุนในบริษัทเกาะกลางสวน จำกัด จำนวน 600,000 หุ้นมูลค่า หุ้นละ 100 บาท รวมมูลค่า 60 ล้านบาท แต่ในการยื่นบัญชีฯกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้ว 1 ปีทั้งสองครั้งเงินลงทุนดังกล่าวหายไป โดยได้โอนไปให้นายพิบูลย์ อัศวเหม (ลูกชายนายวัฒนา อัศวเหม อดีตนักการเมือง จ.สมุทรปราการ และอดีตรมช.มหาดไทย)
ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบพบว่า นายจตุพัฒน์ถือครองหุ้นแทนนายพิบูลย์มาตั้งแต่ต้นและได้โอนคืนแล้วเมื่อวันที่ 3 ก.ค.52 ป.ป.ช.มีมติว่าการที่นายจตุพัฒน์ยื่นบัญชีฯระบุว่ามีเงินลงทุนจำนวนดังกล่าว ทั้งที่ความจริงหุ้นดังกล่าวมีนายพิบูลย์เป็นเจ้าของ ถือว่ายื่นบัญชีฯเท็จ และการที่มิได้หมายเหตุหรือจดแจ้งให้ถูกต้องตรงตามความจริงเป็นการปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ
สำหรับการยื่นบัญชีฯ กรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้ว 1 ปีทั้งสองครั้ง นายจตุพัฒน์มิได้แจ้งให้ ป.ป.ช.ทราบว่า เหตุที่มิได้แสดงรายการทรัพย์สินที่เป็นเงินลงทุนในบริษัทเกาะกลางสวน จำกัด ตามที่เคยยื่นแสดงไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเงินลงทุนในบริษัทดังกล่าวมิใช่ทรัพย์สินที่แท้จริงของนายจตุพัฒน์ แต่เป็นของนายพิบูลย์ และได้โอนคืนให้แก่นายพิบูลย์แล้ว การไม่แจ้งข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมถือได้ว่านายจตุพัฒน์ปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ
แต่เนื่องจากกรณีการยื่นบัญชีฯเข้ารับตำแหน่งและพ้นตำแหน่งทั้งสองครั้ง ล่วงเลยระยะเวลาที่ขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี และขาดอายุความทางอาญาแล้วความจึงยุติเรื่อง เหลือเฉพาะจงใจยื่นบัญชีฯเท็จกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วหนึ่งปีทั้งสองครั้งเท่านั้น
ศาลได้พิพากษาว่านายจตุพัฒน์ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบโดยปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งทีทั้งสองกรณี ตามพระราชบัญญัตติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 32 และมาตรา 33 ห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับจากวันที่ 22 ธ.ค.2551 กับมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 การกระทำของนายจตุพัฒน์เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 เดือน และปรับกระทงละ 4,000 บาท รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 4 เดือน และปรับ 8,000 บาท นายจตุพัฒน์ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ในการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือน และปรับ 4,000 บาท ไม่ปรากฏว่านายจตุพัฒน์ได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี
คดีนี้ศาลฎีกาฯมีมติ 6 ต่อ 3 เสียง เห็นว่านายจตุพัฒน์ จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน
สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า บริษัท เกาะกลางสวน จำกัด ประกอบธุรกิจค้าอสังหาริมทรัพย์ มีคนตระกูลอัศวเหมเป็นเจ้าของ
นายพิบูลย์ เป็นลูกชายคนโตของนายวัฒนา เป็นนักธุรกิจ คนกลางนายพูนผล อัศวเหม อดีต ส.ส.สมุทรปราการ คนที่สามคือนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)สมุทรปราการ นายพูนผลเคยถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จกรณีไม่แจ้งการถือครองหุ้นนับร้อยล้านบาทหลายปีก่อนหน้านี้