- Home
- Isranews
- เกาะประเด็น
- “หม่อมอุ๋ย"แฉ ตร.-นักการเมือง-สื่อเลว คือปัญหาชาติ
“หม่อมอุ๋ย"แฉ ตร.-นักการเมือง-สื่อเลว คือปัญหาชาติ
วันนี้ (23 พ.ย.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจัดให้มีการประชุมหอการค้่าทั่วประเทศครั้งที่ 32 เป็นวันสุดท้าย ที่หอประชุมสมเด็จย่า มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ต.ท่าสุด อ.เมืองเชียงราย โดยนายอิสสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกลินท์ สารสิน กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทย ได้สรุปผลการสัมมนาเป็นหนังสือปกขาวเรื่องยุทธศาสตร์ภาคเหนือ 2020 เสนอต่อหม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ เพื่อนำไปพิจารณาดำเนินการ
โดยผลสรุปส่วนใหญ่เป็นการเสนอวิธีการปฏิบัติใหม่ๆ ของหอการค้า ที่มุ่งเป็นผู้นำทางข้อมูลเศรษฐกิจ การพัฒนาศักยภาพของนักธุรกิจ การขยายโอกาสทางการลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ โดยเฉพาะการค้าชายแดน-การค้าข้ามแดนที่เกี่ยวข้องกับกรอบความร่วมมือต่างๆ
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร กล่าวว่า เศรษฐกิจของไทย 80% อยู่ในมือภาคเอกชน แต่ภาครัฐเสียอีก ที่กลายเป็นอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งในช่วงที่ไทยกำลังเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีปี 2558 นั้น ตนเห็นว่าธุรกิจขนาดใหญ่ ไม่ค่อยน่าเป็นห่วง เพราะศักยภาพเหนือกว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายเรื่อง
แต่ที่ต้องดูแลมากคือธุรกิจขนาดกลางและเล็กหรือเอสเอ็มอี และสิ่งที่น่าห่วงมากก็คือ หน่วยงานภาครัฐเอง เพราะยังมีกฎหมายอีกร่วม 100 ฉบับที่ต้องแก้ไขให้ทันเดือน ธ.ค.2558 ซึ่งตนกำลังผลักดันตั้งคณะกรรมการกฎหมายภาครัฐอยู่ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถทำตามกฎของเออีซีได้
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร กล่าวอีกว่า การขับเคลื่อนประเทศไทยต่อไปขึ้นอยู่กับหลายด้านคือ ด้านสังคม การศึกษา หนี้สิน และการเมือง โดยด้านสังคมนั้น หลายฝ่ายคาดหวังกับรัฐบาลใหม่ที่เข้ามามาก แต่ระยะเวลาอีก 1 ปีคงทำไม่ได้หมด เพราะสังคมไทยมีจุดอ่อนอยู่มาก สิ่งที่คาดหวังกันมากคือ ความปลอดภัยในชีวิต และไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนด้านการศึกษา ยังมีความเหลื่อมล้ำกันมาก และด้านหนี้สิน ที่มักเกิดกับประชาชนที่มีฐานะยากจน
“ถ้าสิ่งเหล่านี้ยังเป็นปัญหา ประเทศไทยไม่มีทางมีความสุขแน่”
ส่วนการแก้ไขปัญหานั้นทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือรัฐบาลถือว่า ทำได้ดีในช่วงต้นๆ โดยสามารถควบคุม และลดอำนาจ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นตำรวจ ซึ่งแม้ตำรวจ จะมีที่เป็นคนดีอยู่มาก แต่มองในแง่ที่ไม่ดีแล้วก็ถูกควบคุม แต่ก็มีคำถามว่า ถ้ารัฐบาลนี้หมดอายุลงสิ่งเหล่านี้จะกลับคืนมาหรือไม่
"เรื่องเหล่านี้ผมไม่มีคำตอบ แต่ต้องช่วยกันคิด เพราะขณะนี้ยังไม่มีการปฏิรูปการบริหารตำรวจอย่างจริงจัง ก็มีแต่การโยกย้ายแต่งตั้ง ให้มีเรื่องการเล่นพรรคเล่นพวกน้อยลง แต่ถ้าโครงสร้างตำรวจยังใหญ่โตเหมือนเดิม ท้ายที่สุดก็แก้ปัญหาไม่ได้อยู่ดี ผมจึงฝากความหวังไว้กับสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่หลายคนมีความกระตือรือร้นเข้ามาทำงานด้านนี้"
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร กล่าวอีกว่า สำหรับด้านการศึกษานั้น โครงสร้างเครือข่ายการศึกษาต้องใช้เวลาการปรับอย่างน้อย 15 ปี ซึ่งนานมาก หลายประเทศ เช่น สวิตเซอร์แลนด์ ฯลฯ ได้ถอดการศึกษาออกจากภาคการเมือง เพราะถ้านักการเมืองยังอยู่ และชนะการเลือกตั้ง ก็จะเข้าไปอยู่เหนือภาคการศึกษาเหมือนเดิม ซึ่งตนเห็นด้วยที่จะแยกการศึกษาให้อิสระออกไป แต่ทุกอย่างก็ต้องไปจบกันที่ สปช.
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร ยังกล่าวถึงด้านปัญหาหนี้สินว่า ตนเป็นกลาง และกล้าพูดได้ว่า ในอดีตพบเห็นโครงการกองทุนหมู่บ้าน ที่พอจะแก้ไขปัญหาหนี้สินใหักับประชาชนในชนบทได้ ซึ่ง 70% สามารถใช้เงินคืนโดยไม่เดือดร้อนเพราะดอกเบี้ยต่ำ คงเหลืออีก 30% ที่ใช้หนี้คืนเองไม่ได้ แต่ว่าต้องมีการต่อยอดเพื่อให้เหมาะสม ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ก็จะพยายามผลักดันให้มีธนาคารเพื่อให้กู้รายย่อย ดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 3 ต่อเดือน หรือร้อยละ 36 ต่อปี โดยจะร่วมกับธุรกิจที่มีเครือข่ายสาขาครอบคลุมทั่วประเทศในการให้สินเชื่อต่อไป
รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงด้านปัญหาการเมืองว่า ความเสียหายของการเมืองไทยที่ผ่านมาคือ การพยายามรวมอำนาจบริหาร และนิติบัญญัติเอาไว้ที่จุดเดียว โดยทั้ง 2 อย่างไม่สามารถคานอำนาจกันได้ รวมทั้งน่าแปลกที่ค่านิยมของนักการเมืองในช่วง 10 ปีหลัง ให้ความสำคัญกับการเป็นรัฐมนตรีมากกว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ทั้งที่ ส.ส.มีหน้าที่แก้ไขกฎหมาย และอื่นๆ ได้มากมาย แต่กลับไม่ภาคภูมิใจ จนเกิดการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งที่จริงเรื่องนี้ในต่างประเทศองค์กรตรวจสอบต้องร่วมกับสื่อ แต่ตนไม่มั่นใจว่าสื่อจะเต็มใจหรือไม่ เพราะบางครั้งเมื่อมีเหตุการการเมืองใดๆ ขึ้นก็กลับไปนำเสนอเห็นด้วยกับกลุ่มการเมืองหนึ่งเสียเองก็มี
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร กล่าวด้วยว่า ปัญหาหนักอีกเรื่องคือ คดีความที่จะเอาผิดนักการเมืองที่กระทำผิดปรากฎว่ากระบวนการช้า และใช้เวลานับ 10 ปี และช่วง 10 ปีนี้ นักการเมืองนั้นๆ ก็ยังเชิดหน้าชูตาทำงานเหมือนเดิมได้อีก เรื่องนี้ต้องทำงานร่วมสื่อมวลชนในการต่อต้านนักการเมืองที่ทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งในต่างประเทศเขาจะทำกันมากโดยเฉพาะเกาหลีใต้ สื่อจะโหมประโคมข่าวเมื่อเกิดกรณีนี้ขึ้น และโดยข้อเท็จจริงแล้วเรื่องทุจริต ไม่จำเป็นต้องรอให้คดีความตามกฎหมายสิ้นสุด แต่ใช้จิตวิทยามวลชนได้ ถ้าทำกันมากๆ คราวต่อไปก็ไม่กล้าทำอีก แต่สื่อไทยมีน้อยมาก และบางครั้งกลับถูกซื้อเสียเอง ซึ่งที่ตนทราบ ก็เพราะมีคนมาบอกว่า “ใครบ้างที่ซื้อได้ซื้อไม่ได้”
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร ยังกล่าวด้วยว่า คาดว่ารัฐธรรมนูญใหม่ที่จะออกมาจะมีการแยกฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติออกจากกัน เพื่อให้คานอำนาจกัน เป็นคนละพวก ซึ่งก็มีหลายโมเดล และผมหวังว่า สปช.จะออกแบบให้คดีการทุจริตของนักการเมืองมีกำหนดระยะเวลา แต่ไม่แน่ใจว่า จะกล้าหรือไม่ ตำรวจนั้นเขาทำคดีสัปดาห์เดียวก็ทำได้ อัยการ 1 เดือนก็ทำได้ และควรกำหนดว่า ถ้าศาลประทับรับฟ้องคดีใดแล้ว ให้นักการเมืองคนนั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่รวมถึงลูกเมียด้วย ไม่เช่นนั้นจะฝากกันได้อีก
“แต่ก็ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญของ สปช.ซึ่งบางครั้งตนก็ท้อใจ หลังเข้ามาเป็นรัฐบาลได้ 2 เดือน ไม่เห็นมีคนขยับเรื่องนี้ ทำให้คนที่ทำผิดก็ไม่ยอมเข็ด ตนก็ไม่รู้จะไปพูดกับใครในเรื่องนี้”
รองนายกรัฐมนตรี ยังย้ำอีกว่า ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นไม่ใช่ใช้กฎหมายอย่างเดียว แต่ต้องใช้กระแสสังคมร่วมด้วย โดยสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง เป็นการป้องปราม และหากใครคิดจะคอรัปชั่น ก็จะมีกระแสกดดันไว้ไม่ให้ทำผิดอีก ทั้งนี้สิ่งเดียวที่ตนจะกล่าวถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในครั้งนี้ก็คือ ร่วมกันรณรงค์ต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น เพราะบั่นทอนประเทศไทยมาช้านาน
“หากจุดอ่อนต่างๆ เหล่านี้ไม่มีแล้ว เศรษฐกิจที่นำโดยภาคเอกชน ก็จะดีขึ้นเอง แต่หากมีจุดอ่อนทั้งหมดอยู่เศรษฐกิจไม่ดี ก็จะกระทบกับภาคธุรกิจในที่สุดเหมือนกัน”
หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า และนอกจากจะกำจัดจุดอ่อนดังกล่าวแล้ว ยังต้องเปิดโอกาสด้านต่างๆ ด้วย โดยจุดอ่อนที่พบด้านเศรษฐกิจคือ การที่คนไทยใช้พลังงานมากถึง 18.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี มากกว่าช่วง 10 ปีก่อนถึงเท่าตัว ขณะที่ประเทศอื่นสามารถหยุดได้ เพราะนักการเมืองที่เข้ามามักจะโหมหาเสียงว่า จะให้ราคาพลังงานถูกลง โดยหวังคะแนนเสียงอย่างเดียว แต่ไม่สะท้อนราคาที่แท้จริง ไม่ส่งเสริมให้ประหยัด
ส่วนปัญหายางพารา ก็คงจะมีการส่งเสริมการปลูกพืชชนิดอื่น และให้สินเชื่อรายย่อย ขณะที่เรื่องผลผลิตข้าวก็จะส่งเสริมให้กลับมาปลูกข้าวพันธุ์ดีของไทยอีกครั้ง เพราะโครงการรับจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท ทำให้ชาวนาหันไปปลูกข้าวอายุสั้น และไม่สนใจคุณภาพ เพื่อหวังนำไปจำนำได้โดยเร็วเท่านั้น โดยได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดพื้นที่เอาไว้แล้ว พร้อมจัดหาตลาดสำหรับข้่าวพันธุ์ดีให้ด้วย ขณะเดียวกันจะมีการส่งเสริมเกษตรทางเลือกตั้งแต่เดือน มี.ค.2558 เป็นต้นไปโดยให้เกษตรอำเภอ ตำบล เป็นกลไกลหลักในการขับเคลื่อน