- Home
- Isranews
- เกาะประเด็น
- ‘บิ๊กตู่’ตั้งประวิตร ขันนอตรมต.อืด
‘บิ๊กตู่’ตั้งประวิตร ขันนอตรมต.อืด
บี้รีดผลงานรัฐบาลโยนให้ประยุทธ์เคาะทําประชามติหรือไม่
“เทียนฉาย” ปลุกพลังนักศึกษาร่วมเดินหน้าปฏิรูป ชูธง 6 เป้าหมายลดเหลื่อมล้ำ-ปราบคอร์รัปชัน-คืนสนามเลือกตั้งสุจริต “บวรศักดิ์” โอ่สเปก รธน.ต้องมีกลไกดับไฟขัดแย้ง-สร้างความปรองดอง กระตุกกลุ่มนิสิตรับผิดชอบบ้านเมือง ชงแนวทางยกร่าง รธน. 22 ธ.ค. กมธ.ยกร่างฯดีเดย์ เฟ้นข้อสรุปพิมพ์เขียว 23 ธ.ค. ชี้ขาดเลือกตั้งโดยตรงนายกฯ วางกฎเหล็กเพิ่มโทษหนักคนซื้อสิทธิขายเสียง จำคุกหัวคะแนน บวรศักดิ์-กมธ.ยกร่างฯ ซาวเสียงหนุนทำประชามติ เรียกความชอบธรรม โยน “บิ๊กตู่” เคาะส่งสัญญาณให้ชัด “จาตุรนต์” ท้า คสช.เรตติ้งสูงปรี๊ดต้องกล้าเปิดเสรี ยกเลิกกฎอัยการศึก “ประยุทธ์” เซ็ง 3 เดือน ครม.อืด แต่ติดลูกเกรงใจไม่กล้าปรับ ครม. ตั้ง “บิ๊กป้อม” หน.ทีมขันนอตรีดผลงาน รมต.
กรณีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยปฏิทินเวลาการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คาดว่าจะนำขึ้นทูลเกล้าฯได้ในวันที่ 4 ก.ย.58 โดยเสียงกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญหลายคนต่างเห็นว่าควรให้มีการทำประชามติ แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
สปช.ปลุกพลัง นศ.ร่วมแรงปฏิรูป
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 20 ธ.ค. ที่ห้องประชุม วายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จัดโครงการ เวทีประชาเสวนา “สานพลังนักศึกษาเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย” โดยนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสปช. กล่าวปาฐกถาตอนหนึ่งว่า เวทีประชาเสวนาเป็นการคาดหวังและมองอนาคตร่วมกันของประเทศ ข้อสำคัญเราต้องตอบคำถามให้ได้ว่าประเทศจะไปอย่างไร เรามีหน้าที่ประคับประคองความเห็นต่างให้ไปด้วยกันได้ เพราะปัญหายังมีมาก หากยังติดอยู่ในวังวนของปัญหาเราก็ไปไหนไม่ได้ ขณะเดียวกันไม่สามารถมองข้ามปัญหาโดยที่ไม่แก้ไข ดังนั้นต้องเอาปัญหามาเป็นบทเรียนกำหนดอนาคตประเทศ ยืนยันว่า สปช.ทั้ง 250 คน ไม่ได้มองเวทีสานเสวนาเป็นเรื่องพิธีกรรม แล้วมาบอกว่ามีคนเป็นแสนเป็นล้านมาแสดงความเห็นแล้ว แต่ต้องการความเห็นจากคนทั้งประเทศจริงๆ ในต่างจังหวัด สมาชิก สปช.กำลังรับฟังความเห็นอยู่
ล็อกเป้าสู่การปรองดอง–ลต.สุจริต
นายเทียนฉายกล่าวว่า สปช.เกิดมาค่อนข้างพิสดาร เพราะมาจากรัฐธรรมนูญชั่วคราว หลายคน ไม่มีความสุข สปช.ทั้ง 250 คน ก็ไม่มีความสุขเท่าไหร่ แต่ในยามที่ต้องปฏิรูปประเทศต้องเดินหน้า โดยมีเป้าหมาย คือ 1.ปฏิรูปแล้วประเทศต้องมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสอดคล้องกับสภาพสังคมไทย 2.ปฏิรูปแล้วต้องมีระบบเลือกตั้งที่สุจริตและเป็นธรรม 3.ปฏิรูปเพื่อมุ่งหวังขจัดทุจริตคอร์รัปชัน ที่ต้องมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ไม่มีข้อยกเว้น เพราะที่ผ่านมาคนโกงไม่ได้รับการจัดการตามกฎหมาย มีหลายมาตรฐาน 4.ปฏิรูปเพื่อลดเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม 5.ปฏิรูปเพื่อปรับ ปรุงให้กลไกของรัฐสะดวกรวดเร็ว 6.ปฏิรูปแล้วต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ
รธน.ใหม่ต้องมีกลไกดับไฟขัดแย้ง
ต่อมาเวลา 10.50 น. นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวบรรยายเรื่อง “การยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ว่า สาระสำคัญของการร่างรัฐธรรมนูญ ทั้ง 190 ประเทศ มีอยู่ 2 ประการ คือ 1.กำหนดเรื่องระบบการเมือง ซึ่งเป็นระบบที่ตัดสินใจแทนบ้านเมืองและพลเมืองทั้งชาติ จึงเป็นหัวรถจักรของประเทศ และ 2.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพด้านต่างๆ เช่น ด้านบุคคล เศรษฐกิจ สาธารณสุข การศึกษา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ปัญหาแรกที่บ้านเมืองประสบ คือ ความขัดแย้ง ฉะนั้นในรัฐธรรมนูญจึงควรมีกลไกแก้ไขความขัดแย้ง ซึ่งเป็นปัญหาร้าวลึกมาตั้งแต่ปี 49-53 การยึดอำนาจวันนี้ปัญหายังคงมีอยู่ แต่ที่สงบได้เพราะกฎอัยการศึก แต่เมื่อมีรัฐธรรมนูญใหม่เกิดเสรีภาพ ความขัดแย้งจะกลับมาอีก ฉะนั้นรัฐธรรมนูญใหม่จะต้องมีกลไกแก้ปัญหาความขัดแย้งและสร้างความปรองดอง
ชวนคนรุ่นใหม่ชงแนวยกร่างฯ
นายบวรศักดิ์กล่าวต่อว่า ปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองเกิดจากคนรุ่น 14 ตุลาฯ เป็นรุ่นอาทิตย์อัสดงอยู่ในระยะถอยหลัง แต่ยังทะเลาะกันไม่หยุด คนรุ่นใหม่หรือรุ่นอาทิตย์อุทัย จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตบ้านเมือง คนวัยหนุ่มสาวควรมีอุดมคติ มองเห็นความยุติธรรมเป็นหลัก ไม่เข้าใจว่าคนเหล่านี้หายไปไหนหมด ในวันที่มีการยึดอำนาจ คนหนุ่มสาวกลับนั่งเล่นกีตาร์ เล่นอินสตาแกรม ถ้าเราอยากเห็นบ้านเมืองสงบ และยุติธรรมจะอยู่เฉยไม่ได้ ต้องออกมารับผิดชอบอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่ให้ออกมาเดินขบวน แต่เป็นการร่วมกันแสดงความคิดเห็น หลังจบเวทีนี้ขอให้กลับไปเรียกประชุมนิสิต นักศึกษา สอบถามกันว่าอยากได้รัฐธรรมนูญแบบไหน แล้วส่งความเห็นกลับมารับรองว่า กมธ.ยกร่างฯ จะอ่านความเห็นแน่นอน
เซ็งสื่อพาดหัว รธน. “พิมพ์ชมพู”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการบรรยายเสร็จ สิ้นนายบวรศักดิ์ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่มาดักรอขอสัมภาษณ์ โดยนายบวรศักดิ์ กล่าวด้วยสีหน้าเซ็งๆว่า มีสื่อหนังสือพิมพ์พาดหัวว่า พิมพ์ชมพูรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ตนแค่พูดเล่นๆ ไม่น่าจะเป็นประเด็นอะไร แต่กลับเอาไปพาดหัวเลย พร้อมกับเดินจากไปทันที
“เทียนฉาย” แทงกั๊กทำประชามติ
นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ให้สัมภาษณ์ถึงความเป็นไปได้ใน การจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้ เพราะการทำประชามติอยู่ในช่วงปลายของการร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อร่างเสร็จแล้วต้องมาพูดคุยกัน ตอนนี้จึงยังไม่ได้พูดคุยกันเรื่องนี้ อีกทั้งเรื่องที่ต้องดำเนินการเฉพาะหน้าขณะนี้มีจำนวนมาก โดยเฉพาะประเด็นการปฏิรูปด้านต่างๆ หากพูดถึงเรื่องประชามติในขณะนี้เรื่องอื่นๆ เช่น การปฏิรูปจะทำอย่างไร ทั้งนี้ ควรจะทำ ประชามติหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เมื่อใกล้เวลาแล้วก็จะรู้ หากทุกคนเห็นสอดคล้องกันในเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ ก็จะได้ข้อสรุปภายในตัวรัฐธรรมนูญ
23 ธ.ค. กมธ.ชี้ขาดเลือกตรงนายกฯ
พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช สมาชิก สปช.และโฆษกกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงการ ทำงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ภาย หลังจาก สนช.และ สปช.ส่งมอบรายงานความเห็น การยกร่างรัฐธรรมนูญต่อคณะกรรมาธิการยกร่างฯว่า ในสัปดาห์หน้าคณะ กมธ.ยกร่างฯจะประชุม เพื่อพูดคุยถึงรายละเอียดในประเด็นต่างๆ ที่ สนช. สปช. ตลอดจนภาคส่วนต่างๆเสนอมามีนับพันประเด็น เพื่อให้ตกผลึกในเบื้องต้น โดยในวันที่ 22 ธ.ค. จะ หารือประเด็นภาคพลเรือนและประชาชน และวันที่ 23 ธ.ค. จะหารือประเด็นภาคการเมือง น่าจะได้ข้อสรุปเบื้องต้นในแนวทางปฏิรูปการเมือง อาทิ วิธีการเลือกตั้งจะเป็นแบบใด จะมีการเลือกตั้งนายกฯและ ครม.โดยตรงหรือไม่ ซึ่ง กมธ.ยกร่างฯหลายคนเห็นตรงกันว่า การไปลองของใหม่โดยใช้วิธีเลือกนายกฯโดยตรง ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะแก้ปัญหาได้จริง อาจจะเกิดปัญหาใหม่ในอนาคตได้ เพราะนอกจากไม่ช่วยแก้ปัญหาซื้อเสียงแล้ว ยังมีจุดอ่อนเพิ่มขึ้น ทำให้คนแพ้ไม่มีที่ยืนทางการเมือง ไม่ได้เป็นทั้ง ส.ส.และรัฐมนตรี จึงเป็นเรื่องยากที่จะมีการเปลี่ยนแปลงแบบ 100%
เพิ่มโทษหนักซื้อขายเสียงหัวคะแนนติดคุก
พล.อ.เลิศรัตน์กล่าวว่า การเลือกนายกรัฐมนตรี หากจะให้เลือกผ่านสภาฯเช่นเดิม คณะ กมธ.ยกร่างฯ จะต้องกำหนดกลไกควบคุมการเลือกตั้งให้เกิดความโปร่งใสมากที่สุด ไม่มีการซื้อเสียง อาจจะมีการกำหนด บทลงโทษผู้ซื้อสิทธิขายเสียงให้หนักขึ้น หรือลงโทษหัวคะแนนที่ซื้อเสียงถึงขั้นถูกจำคุก รวมทั้งจะต้องพิจารณาเรื่องวิธีการลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.ว่าจะใช้ แบบใด ระหว่างเขตเดียว เบอร์เดียว หรือการเลือก เขตละ 3 คน การนับคะแนนเลือกตั้ง การให้นักการ เมืองมีอิสระจากพรรคการเมือง ซึ่งคณะ กมธ.ยกร่างฯ ต้องไปหารือรายละเอียดกันอีกครั้งว่าจะมีวิธีการอย่างไร เพื่อให้การเลือกตั้งมีความโปร่งใสที่สุด
หนุนประชามติเพื่อความชอบธรรม
พล.อ.เลิศรัตน์กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการทำประชามติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คณะ กมธ.ยกร่างฯ จะไม่ทำความเห็นเสนอเรื่องนี้ในการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้ตัดสินใจเอง แต่ที่ผ่านมานายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างฯ เคยแสดงความเห็นไปแล้วว่าควรมีการทำประชามติ และเท่าที่ฟังคณะ กมธ.ยกร่างฯคุยกัน หลายคนเห็นด้วยว่าควรทำประชามติ เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อีกทั้งเป็นการแสดงถึงความมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างชัดเจน ทั้งนี้ หากจะทำประชามติต้องไปเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 57 ก่อน จากนั้นค่อยเสนอเป็นกฎหมายการทำประชามติต่อสนช.ต่อไป
ใช้ประโยชน์ตีตรา ปชช.ยอมรับ
นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิก สปช. ในฐานะโฆษก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า เรื่อง การทำประชามติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นความเห็นของ กมธ.ยกร่างฯจำนวนหนึ่ง ที่มองว่าถ้าทำประชามติจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อรัฐธรรมนูญ เพราะประชาชนจะยอมรับรัฐธรรมนูญมากขึ้น และหากทำประชามติต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 โดยมาตรา 46 รัฐธรรมนูญชั่วคราว ระบุว่า กรณีจำเป็นและสมควร คณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะมีมติร่วมกันให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งหากทำประชามติระยะ เวลาการร่างรัฐธรรมนูญต้องเพิ่มขึ้นอีก 3-4 เดือน
ช่วยเป็นเกราะคุ้มกันรัฐธรรมนูญ
ด้านนายวันชัย สอนศิริ สมาชิก สปช.ในฐานะโฆษกคณะ กมธ.วิสามัญกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วิป สปช.) กล่าวว่า เรื่องการทำประชามติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังไม่ได้มีการหารือกันในวิป สปช. ซึ่งเห็นว่าเป็นแนวคิดของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.ยกร่างฯ) ที่พูดก่อนนี้ว่าถ้าทำประชามติต้อง ใช้เวลาต่ออีก 3 เดือน ซึ่งตนเห็นว่าจะมีการทำประชามติหรือไม่ต้องดูที่กระแสต่อไป และถ้าไม่มีเหตุสุดวิสัยหรืออุปสรรคอะไรเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน ทำให้รัฐธรรมนูญมีภูมิคุ้มกันได้อย่างดี และหากมีใครคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกก็จะเห็นว่าประชาชนมีมติเอารัฐธรรมนูญนี้แล้ว ทั้งนี้ ในรัฐธรรมนูญ ชั่วคราวปี 2557 ก็ไม่ได้ปิดกั้น เอาไว้ว่าห้ามหรือผูกมัดเรื่องทำประชามติ จึงไม่จำเป็น ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว และหากมีการ ให้ทำประชามติคงต้องดูช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. 2558 หากไม่มีสถานการณ์อะไรก็คงขอประชามติได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวไม่คิดว่าเป็นการยืดเวลาของ คสช. เพราะเมื่อร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ ก็ต้องเตรียมกฎหมายลูกให้แล้วเสร็จ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือนอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุให้ต้องยืดเวลาออกไป
“บวรศักดิ์–กมธ.” คุยนอกรอบใจตรงกัน
นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ สมาชิก สปช. และ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า กมธ.ยังไม่ได้คุยกันในเรื่องนี้ แต่ กมธ.หลายคน โดยเฉพาะนาย บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างฯอยากให้ทำประชามติ ซึ่งเป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 ที่เขียนไว้ให้ สปช.ให้ความเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการทำประชามติก็ไม่มีในรัฐธรรมนูญ กระบวนการให้ความเห็นชอบเป็น ของ สปช. ไม่ใช่ของประชาชน จึงไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ แต่หากมีการเรียกร้องให้ทำประชามติต้องไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว ถ้าไม่แก้ไขต้องดูว่าเมื่อทำประชามติแล้วจะมีผลอย่างไร ซึ่งการทำประชามติต้องมีกฎหมายรองรับ เนื่องจากต้องมีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการ ต้องมีการ ใช้งบประมาณ แต่หากไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ ผลการทำประชามติ จะไม่มีผลบังคับใช้
“ยงยุทธ” เห็นด้วยเพื่อให้รอบคอบ
ขณะที่นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อเสนอให้มีการจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า ยังเป็นประเด็นที่ยังไม่มีการตัดสินว่าจะทำหรือไม่ ที่ผ่านมารัฐบาลมีการพูดเรื่องนี้กันอยู่บ้าง แต่ต้องรอข้อสรุปจากทางสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญก่อน แต่โดยส่วนตัวเห็นด้วยหากจะให้มีการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นเรื่องดีเพื่อความรอบ คอบ เพราะจะทำให้เป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนยอมรับ แต่บางคนเป็นห่วงว่าจะทำประชามติแล้วไม่ผ่าน แต่ตรงนี้ไม่น่ามีปัญหา หากไม่รับก็กลับไปทำใหม่เท่านั้น ในเมื่อเสียเวลาแล้ว ถ้าจะเสียเวลาเพิ่มอีกนิดทำประชามติเพื่อความรอบคอบ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย คงต้องให้ สปช.กับ กมธ.ยกร่างฯไปถกเถียงกันก่อน อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน่าจะรู้แล้ว
ปชป.ขอเพิ่มอำนาจภาค ปชช.
นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการยกร่างรัฐธรรมนูญว่า หลังจากนี้งานหนักเป็นของคณะ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เพราะทุกฝ่ายต่างจับตารอดูรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จะออกมาบังคับใช้กับประเทศและประชาชนไทย ที่สำคัญที่สุดคือการรับฟังเสียงสะท้อนของประชาชนทุกสาขาอาชีพ และ กมธ.ยกร่างฯต้องกล้าพูดถึงเหตุการณ์ความบอบช้ำของประเทศในอดีตว่า เกิดจากสาเหตุใด ทำอย่างไรให้รัฐบาลเสียงข้างมาก อย่าใช้อำนาจเกินตัว เพิ่มอำนาจการตรวจสอบภาคประชาชนมากยิ่งขึ้น หรือวางโครงสร้างระบบการถ่วงดุลระหว่างองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ให้เสียงข้างมากเคารพเสียงข้างน้อย และให้เสียงข้าง มากเคารพอำนาจตุลาการ ล้วนเป็นคำถามในใจประชาชนที่ต้องฝากความหวังไว้กับ กมธ.ยกร่างฯ
“อ๋อย” ท้า คสช.เรตติ้งสูงต้องเปิดเสรี
นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เห็นข่าวบอกว่าร่างรัฐธรรมนูญจะเสร็จเดือน ก.ย.ปีหน้า ถ้ามีการลงประชามติจะใช้เวลาเพิ่มอีก 3 เดือน ไม่เป็นไร เพราะถ้าไม่มีการลงประชามติ กมธ.ยกร่างฯคงยำกันตามใจชอบ ที่ทำเป็นรับฟังความคิดเห็นคงทำกันพอเป็นพิธีเท่านั้น สุดท้ายประเด็นสำคัญๆ ก็เป็นไปตามที่ล็อกล่วงหน้าไว้หมดแล้ว แต่การลงประชามติจะเป็นประโยชน์จริงๆ ต่อเมื่อเป็นการลงประชามติที่เปิด เสรีและยุติธรรม อย่าให้เหมือนในปี 50 ที่บอกว่าถ้าไม่ผ่านจะเอาฉบับที่อาจเลวร้ายกว่ามาใช้ และต้องไม่ทำขณะที่ยังใช้กฎอัยการศึกอยู่ ตั้งแต่ขั้นตอนยกร่างควรผ่อนคลายให้ประชุมปรึกษาหารือ แสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ เมื่อใกล้จะลงประชามติก็ควรจะยกเลิกการใช้กฎอัยการศึก เห็นคะแนนนิยมรัฐบาลและ คสช.สูงมากอยู่ จะกลัวอะไรกับการลงประชามติ แค่ใช้เวลาเย็นวันศุกร์พูดสนับสนุนร่างไม่กี่นาทีก็น่าจะผ่านได้ไม่ยากอยู่แล้ว
เย้ยปฏิรูปฉุดประเทศถอยหลัง
นายจาตุรนต์ระบุด้วยว่า การปฏิรูปที่กำลังทำกันอยู่นี้เป็นการทำโดยคนส่วนน้อยนิด ที่ไม่ได้มีที่มาจากประชาชน อีกทั้งไม่ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม หรือแม้กระทั่งแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง แนวโน้มที่เกิดขึ้นคงไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประชาชนเสียเป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่มีทางเป็นการปฏิรูป แต่จะกลายเป็นการนำประเทศสู่การถอยหลังครั้งใหญ่อย่างเป็นระบบ ที่แย่กว่านั้นคือเมื่อท่านทั้งหลายเหล่านี้ทำเสร็จแล้วใครจะมาแก้ง่ายๆไม่ได้เลย ไม่ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญหรือแก้กฎหมายเป็นร้อยๆฉบับ ต้องใช้เวลา กันเป็นสิบๆปี ปัญหาจึงจะอยู่กับสังคมไทยไปอีกนาน การรัฐประหารครั้งล่าสุดกำลังจะสร้างปัญหาที่สลับซับซ้อนทิ้งไว้ให้สังคมไทยมากกว่าการรัฐประหารครั้งที่แล้ว อย่างน้อยก็ในมิติของการปฏิรูปนี้เอง
“ประยุทธ์” ถกผู้นำลุ่มน้ำโขง
อีกด้าน เมื่อเวลา 09.00 น. ที่โรงแรมแชงกรี-ลา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงครั้งที่ 5 โดยมีผู้นำและบุคคลสำคัญร่วมประชุม ประกอบด้วย สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา นายหลี่ เค่อ เฉียง นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน นายทองสิง ทำมะวง นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นายเต็ง เส่ง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ นายเหวียน เติ้น สุง นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และนายทาเคฮิโกะ นากาโอะ ประธานธนาคารพัฒนาเอเชียเข้าร่วม
ชง 7 แผนกำหนดอนาคต 10 ปี
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต้อนรับผู้นำเปิดการประชุมตอนหนึ่งว่า หัวข้อการประชุม “ความมุ่งมั่นลดความเหลื่อมล้ำเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนใน GMS” ในกรอบวิสัยทัศน์ที่ร่วมกันวางไว้ 3 เรื่อง คือการสร้างความเชื่อมโยง การเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน และการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ตนขอเสนอแผนการทำงานในช่วง 10 ปีข้างหน้าที่จะให้ความเห็นชอบและร่วมกันขับเคลื่อน นำไปสู่การปฏิบัติ 7 เรื่อง ได้แก่ 1.ใช้ประโยชน์ให้เต็มที่จากการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ 2.พัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งทั้งทางบกและทางทะเลให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทางรถไฟเชื่อมระหว่างประเทศระยะเร่งด่วน คือ เส้นทางอรัญประเทศ-ปอยเปต และหนองคาย-เวียงจันทน์-คุนหมิง 3.ลดขั้นตอนและระยะเวลาการผ่านแดน 4.พัฒนาแหล่งพลังงานร่วมกัน โดยยินดีจะจัดตั้งศูนย์ประสานงานการซื้อขายไฟฟ้าในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงมาประสานงาน 5.ระดมทุนเพื่อการพัฒนา 6.ปรับปรุงสิทธิประโยชน์และส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนในภูมิภาค 7.ร่วมมือดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการภัยพิบัติ ก้าวสู่การเป็นเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำโขงสีเขียว
ลั่นลุยโรดแม็ปลดเหลื่อมล้ำ
ต่อมาเวลา 12.00 น. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุมอย่างไม่เป็นทางการ ถึงเรื่องการพัฒนาภูมิภาคอย่างยั่งยืนและลดความเหลื่อมล้ำว่า ความเหลื่อมล้ำในไทยมีหลายมิติ ที่สำคัญ ได้แก่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ขณะนี้ประเทศกำลังเดินหน้าเรื่องการปรองดองและปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจังตามแผนโรดแม็ป เปิดให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ให้ความสำคัญกับหลักธรรมาภิบาล ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เน้นการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง และมุ่งลดความเหลื่อมล้ำในสังคมเป็นสำคัญ ประเทศสมาชิก GMS ต้องหันมากระตุ้น และดึงดูดให้เกิดการลงทุนเชื่อมโยงกัน
จากนั้นเวลา 13.50 น. พล.อ.ประยุทธ์แถลง
ผลการประชุมว่า ผู้นำทุกประเทศมาด้วยตัวเอง จึงเป็นไปได้สูงที่เรื่องต่างๆจะประสบความสำเร็จ ที่ประชุมมีสัญญาร่วมกันว่างานที่ตั้งเป้าไว้จะทำให้เรียบร้อยภายใน ต.ค.58 เราต้องลดปัญหาความขัดแย้งด้วยความอยู่ดีกินดี ทำให้ประชาชนมีความสุข ต่างประเทศเข้าใจเรา แต่ทำไมในประเทศถึงมีความขัดแย้ง ขอให้เลิกทะเลาะกัน รัฐบาลไม่ต้องการใช้กฎหมายมาบังคับให้เกิดความวุ่นวาย เพราะความร่วมมือในภูมิภาคจะเกิดขึ้นได้เมื่อทุกอย่างสงบ สันติ และมีเสถียรภาพ
ตั้ง กก.ศึกษารถไฟรางคู่ 10 เดือน
ด้าน พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ถึงการสร้างความเชื่อมโยงด้านขนส่งในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงว่า ไทยจะพัฒนาการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร 3 เส้นทางคือ เส้นทางสายที่ 9 มุกดาหาร-ลาว-เวียดนาม เส้นทางหมายเลข 12 นครพนม-เวียดนาม และเส้นทางบึงกาฬ-ปากเซ และได้ตั้งสมาคมการรถไฟแห่งอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงขึ้นมาเชื่อมโยง ส่วนการลงนามบันทึกความตกลงระหว่างรัฐบาลไทย-จีน การก่อสร้างรถไฟรางคู่ ภายในต้นเดือน ม.ค.58 จะตั้งคณะกรรมการบริหารเพื่อศึกษาเส้นทางและแนวทางการหาเงินลงทุน ฝ่ายไทยมี รมว.คมนาคมเป็นประธาน มีแผนดำเนินการให้เสร็จภายใน 10 เดือน และจะตั้งอนุกรรมการเพื่อบูรณาการข้อมูล เทคนิค กฎหมาย และการฝึกอบรม เพื่อทำรถไฟสายนี้ให้เป็นการนำร่องเชื่อมโยงในภูมิภาค
มอบดาบ “บิ๊กป้อม” ขันนอต รมต.
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ภายใน 1-2 วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.เตรียมลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน เพื่อติดตามการทำงานนโยบายสำคัญๆ ของรัฐบาลที่ได้ดำเนินการไปแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้า เนื่องจากพบว่าหลังรัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินมาครบ 3 เดือน หลายนโยบายการดำเนินการเป็นไปด้วยความล่าช้า ไม่เป็นไปตามโรดแม็ปที่ได้วางไว้ รัฐมนตรีหลายคนทำงานไม่เข้าเป้า
อึดอัดผลงานอืด แต่ไม่กล้าปรับ ครม.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดปัญหาความล่าช้าในการสร้างผลงานของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่นายกฯไม่ต้องการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)เพราะรู้สึกลำบากใจ เนื่องจาก ครม.ชุดนี้ต่างจาก ครม.ปกติ ซึ่งหากนายกฯในฐานะหัวหน้ารัฐบาลไม่พอใจในผลงานรัฐมนตรีคนใด ก็สามารถปรับเปลี่ยนออกได้ ขณะที่รัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้หลายคนเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกเชิญขอให้เข้ามาเป็นรัฐมนตรี จึงมีความเกรงใจไม่กล้าปรับออก จากตำแหน่ง โดยนายกฯให้อำนาจ พล.อ.ประวิตร ไปจัดตั้งทีมงาน และให้ไปพิจารณาเลือกดูว่ามีงานส่วนใดบ้างที่ล่าช้า จำเป็นต้องเข้าไปเร่งรัดให้มีการทำงานที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้เหตุผลที่นายกฯมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตรนั่งเป็นประธานคณะกรรมการชุดดังกล่าวเพราะเห็นว่า พล.อ.ประวิตรมีบารมีมากที่สุดในรัฐบาลและใน คสช.น่าจะเข้าไปไล่ติดตามการทำงานได้เป็นอย่างดี
“บิ๊กโด่ง” ขานรับ “ป๋า” กำชับปราบโกง
ที่กองการบิน กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และ ผบ.ทบ.กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวในพิธีปิดและมอบประกาศนียบัตรหลักสูตร “นักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการทุจริตระดับสูง” (นยปส.) รุ่นที่ 5 ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยแสดงความเป็นห่วงเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันว่า สิ่งที่กองทัพบกจะมอบให้กับประชาชนคือความตั้งใจทำงานอย่างเต็มความสามารถ และดูแลประชาชนให้เกิดความสุข สงบและเรียบร้อย ส่วนเรื่องภายในของกองทัพบกตนให้ยึดถือว่าทุกอย่างต้องตรงไปตรงมา ถูกต้องตามขั้นตอน และซื่อสัตย์สุจริต อย่างไรก็ตามได้เน้นย้ำกับกำลังพลทุกครั้งในเรื่องเหล่านี้ที่ตรงกับ พล.อ.เปรมได้ให้ข้อคิดฝากไว้ อีกทั้งตรงตามนโยบายของรัฐบาลที่ตนจะต้องไปดำเนินการให้เข้มงวดต่อไป
แกนนำชุมชนยังให้ใจรัฐบาล
วันเดียวกัน มาสเตอร์โพล โดยชมรมนักวิจัยไทยเพื่อความสุขชุมชน เปิดเผยผลสำรวจความพึงพอใจของแกนนำชุมชน 629 ชุมชนต่อผลงานรัฐบาลและของขวัญปีใหม่ที่อยากให้นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 11-19 ธ.ค.ที่น่าสนใจพบว่าคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ยต่อผลการดำเนินงานของรัฐบาลและ คสช. ได้ 8.46 จาก 10 คะแนน โดยผลงานด้านความเดือดร้อนเร่งด่วนของประชาชน อันดับที่ 1 คือการดำเนินงานของศูนย์ดำรงธรรม อันดับที่ 2 การปรับปรุงคุณภาพการให้บริการประชาชน ด้านการเมือง อันดับที่ 1 คือการส่งเสริมความรักความสามัคคีของคนในชาติ อันดับที่ 2 ความพยายามยุติความรุนแรงและลดปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติ ด้านเศรษฐกิจ อันดับที่ 1 การเตรียมความพร้อมด้านความรู้ การศึกษา วิชาชีพเตรียมรับประชาคมอาเซียน อันดับที่ 2 มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ ด้านสังคม อันดับที่ 1 การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม และการส่งเสริมค่านิยมความเป็นไทย 12 ประการ อับดับที่ 2 การปราบปรามจับกุมอาวุธสงคราม โดยร้อยละ 93 ระบุอยากให้ของขวัญนายกฯมากที่สุด รองลงมาหรือร้อยละ 5.0 อยากให้ของขวัญรัฐบาลทั้งคณะ ร้อยละ 2 ไม่อยากให้ของขวัญใครเลย โดยร้อยละ 60.9 อยากให้กำลังใจเป็นของขวัญปีใหม่แก่นายกฯ ร้อยละ 11.5 อยากให้คำอวยพร ให้มีความสุข อายุยืน สุขภาพแข็งแรง
“ทนายปู” ซัด “ปนัดดา” ทุบตลาดข้าว
นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้รับผิดชอบคดีรับจำนำข้าว กล่าวถึงกรณี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐ ระบุผลการตรวจสอบมีข้าวผ่านมาตรฐาน 12.23% ไม่ตรงตามมาตรฐาน 80.19% ส่วนที่เหลือเป็นข้าวเสียและข้าวผิดชนิดว่า ไม่ทราบว่าเป็นการตรวจสอบครั้งใด ที่ผ่านมารัฐบาลตรวจสอบข้าวหลายหน่วยงาน หลายครั้ง แต่ละครั้งแถลงตัวเลข ปริมาณ คุณภาพข้าวแตกต่างกัน อีกทั้งการที่แบ่งเกรดข้าวเป็นเกรดเอ บี ซี ใช้เกณฑ์ใดแบ่งเกรด บอกว่ามีข้าวเสีย ข้าวผิดชนิด และข้าวกองล้มพบที่โรงสีใด จังหวัดไหน หากมีจริงควรระบุให้ชัดเจนว่าอยู่ที่โรงสีใด ดูแล้วมีข้อพิรุธ และวาระซ่อนเร้น ควรระบุให้ชัดเจน เพราะไม่เคยมีรัฐบาลใดทำมาก่อน การให้ข่าวว่าข้าวไม่ได้มาตรฐาน ใครกำหนดใช้วิธีใด การกล่าวรวมๆ เช่นนี้เป็นการทุบตลาดข้าวไทย ไม่เป็นผลดีต่อข้าวไทยที่รอการระบาย ทั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯกำลังจะทำข้อตกลงขายข้าวให้จีนอยู่แล้ว ม.ล.ปนัดดาจะกล้ารับผิดชอบหรือไม่
งัด พ.ร.บ.ข่าวสารบีบเผยข้อมูล
นายนรวิชญ์กล่าวว่า หากยังไม่เปิดเผยให้ชัดเจน ทีมกฎหมายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์อาจจำเป็นต้องใช้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารขอให้เปิดเผย ไม่ควรฉวยโอกาสเอาผลการตรวจสอบมากล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์โดยมีวาระทางการเมือง เรื่องผลการตรวจสอบข้าวอยู่นอกรายงานและสำนวน ป.ป.ช. จึงไม่ควรนำผลการตรวจสอบนี้มาใช้กล่าวหาลูกความของตน