- Home
- Isranews
- เกาะประเด็น
- 'มนูญ' หนุนเลือกตั้งสัดส่วนผสม ค้านโอเพ่นลิสต์ชงทำประชามติ
'มนูญ' หนุนเลือกตั้งสัดส่วนผสม ค้านโอเพ่นลิสต์ชงทำประชามติ
3 มิ.ย. 58 เมื่อเวลา 13.00 น. ที่รัฐสภา นายมนูญ ศิริวรรณ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ด้านพลังงาน ในฐานะผู้เข้าชี้แจงเสนอคำขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ถึงผลการยื่นคำขอแปรญัตติต่อกรรมาธิการ(กมธ.)ยกร่างรัฐธรรมนูญว่า ทาง สปช.ผู้เข้าชี้แจงได้เสนอในประเด็นด้านการเมือง โดยสนับสนุนการเลือกตั้งในระบบสัดส่วนผสม แต่ไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งโอเพ่นลิสต์ เพราะประชาชนส่วนหนึ่งอาจจะไม่เข้าใจ ทำให้มีบัตรเสียเป็นจำนวนมาก อีกทั้งการบริหารการเลือกตั้งก็จะยุ่งยากขึ้น ใช้เวลานับคะแนนเสียงมาก ทั้งนี้ทาง กลุ่มของตนเห็นมีความเห็นว่าประชาชนได้เลือกตั้งเองใน ส.ส. เขตแล้ว ดังนั้น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ก็ควรจะให้ทางพรรคได้เลือกเองเพราะอาจจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปกับ ส.ส.เขต นอกจากนี้ยังได้เสนอให้ตัดกลุ่มการเมือง ลดจำนวน ส.ว.ให้เหลือ 150 คน โดยตัดคณะกรรมการสรรหาออกและให้มี ส.ว. สรรหาแค่ 73 คน นอกจากนี้ยังตัดมาตรา 140 ว่าด้วยการห้ามการคุมขับ ส.ส.และ ส.ว.ออกทั้งมาตรา
นายมนูญ กล่าวว่า นอกจากนี้กลุ่มของตนได้มีการเสนอในเรื่องของการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง สืบเนื่องจากที่ในขณะนี้นั้นมีประชาชนได้มีความเห็นเป็นจำนวนมากว่าต้องการจะปฏิรูปให้เสร็จเสียก่อนที่จะมีการประชามติและภายหลังจากที่ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อย ก็จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวให้มีการทำประชามติ ว่าจะรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่ ดังนั้นกลุ่มของตนจึงได้เสนอว่าให้มีการบัญญัติลงไปในบทเฉพาะกาลด้วยว่าในการทำประชามตินั้น ถ้าประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญ ก็ให้ถามว่าต้องการให้ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งเป็นระยะเวลา 2 ปีหรือไม่ ซึ่งรูปแบบประชามตินั้นก็จะเป็น 2 คำถาม ว่าจะรับร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ และต้องการให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งหรือไม่ ถ้าหากประชาชนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้น คำถามเรื่องการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งก็จะมีอันตกไป
นายมนูญ กล่าวต่อว่า แต่ถ้าหากประชามติผ่าน และประชาชนต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศนั้นสภาขับเคลื่อนการยุทธศาสตร์การปฏิรูปก็จะดำเนินการปฏิรูปประเทศต่อไป ซึ่งทางกลุ่มได้เสนอให้ยุบคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปแห่งชาติทิ้งไป เนื่องจากเห็นว่างานซ้ำซ้อนกับ สภาขับเคลื่อนฯ โดยในอนาคตนั้นคณะกรรมการประเมินผลแห่งชาติและทางสภาขับเคลื่อนฯก็จะทำหน้าที่ชี้วัดว่าการปฏิรูปนั้นดำเนินไปถึงไหนแล้ว ซึ่งการทำงานนั้นก็จะต้องอยู่ในระยะเวลา 2 ปี ไม่เกินจากนี้ เมื่อครบ 2 ปี ไม่ว่าจะปฏิรูปเสร็จหรือไม่ ก็ต้องให้มีการเลือกตั้ง
ขอบคุณข่าวจาก