- Home
- Isranews
- เกาะประเด็น
- ‘สมคิด’โชว์วิชั่น ศก.ไทยถดถอย เร่งช่วยฐานราก
‘สมคิด’โชว์วิชั่น ศก.ไทยถดถอย เร่งช่วยฐานราก
"สมคิด" โชว์วิชันฟื้นเศรษฐกิจไทย ชี้ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติแค่ถดถอย ดึงเอกชนร่วมกู้ เผย "บิ๊กตู่" สั่งแก้ด่วน 2 เรื่อง "ช่วยคนรายได้น้อย-วางรากฐาน ศก." ปลุกโอท็อปสร้างงานชนบท มั่นใจพื้นฐานดีดันจีดีพีโตตาม นายกฯวอนให้กำลังใจทีมเศรษฐกิจ เชื่อไม่นานเห็นสัญญาณบวก
เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวปาฐกถาพิเศษ “นโยบายเศรษฐกิจและทิศทางประเทศไทย” ซึ่งจัดโดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) หรือ กกร. ว่า ปัจจุบันประเทศไทยไม่ได้ประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ ขอประชาชนอย่าตื่นตกใจ เพราะดูจากผลประกอบการของแต่ละบริษัทยังดีอยู่ แต่ปัญหาที่แท้จริงของไทยในขณะนี้คือความสามารถของประเทศถดถอยลง ทำให้เศรษฐกิจขาดพลังและอ่อนแอลง ซึ่งที่ผ่านมาไทยพึ่งพาตลาดส่งออกเป็นหลัก เมื่อเศรษฐกิจโลกตกต่ำ จึงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้ประกอบการขาดความเชื่อมั่น ไม่กล้าลงทุนในขณะนี้ และส่งผลมาถึงอำนาจซื้อของชนชั้นกลางไม่เกิด เพราะเห็นหุ้นตก เศรษฐกิจจีนมีปัญหา
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยยังดีอยู่ แต่ไม่มีการปรับปรุงมานาน ดังนั้นไทยจะใช้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสในการพัฒนาปรับปรุงแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางเศรษฐกิจในประเทศ และวางรากฐานเศรษฐกิจไปข้างหน้า โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้เข้ามาทำ 2 ภารกิจเป็นการเร่งด่วนก่อน คือ 1.ช่วยเหลือเกษตรกร กลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) รวมถึงผู้มีรายได้น้อยก่อน โดยบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นด้วยกลไกการเงิน ให้มีเงินทุนลงไปถึงชาวบ้านอย่างเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางการเงิน และสร้างท้องถิ่นให้เข้มแข็งอย่างจริงจัง โดยได้กำชับ รมว.คลังให้หาทางใช้งบการเงินเพื่อจูงใจผลักดันโครงการเล็กๆ ให้เป็นผลสำเร็จโดยเร็ว
2.การวางรากฐานเศรษฐกิจให้ประเทศ โดยจะไม่รอกระบวนการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แต่อะไรที่ทำได้ก่อนจะเริ่มทำไปเลย ซึ่งรัฐบาลจะเป็นผู้นำการวางรากฐาน รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงจะต้องเป็นผู้ปฏิรูปให้เกิดขึ้น ทั้งนี้ การสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจภายในประเทศ จะมุ่งเน้นไปที่ระดับชนบท หมู่บ้าน จังหวัด โดยใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงมานำร่อง จะต้องมีศูนย์กลางเศรษฐกิจในแต่ละจังหวัดของตัวเอง สามารถนำงบประมาณองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และคณะกรรมการต่างๆ ของหมู่บ้านมาใช้ให้เกิดประโยชน์ คิดกิจกรรมด้านเศรษฐกิจในการผลิตและพัฒนาสินค้าระดับท้องถิ่น ที่สำคัญจะนำสินค้า 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ (โอท็อป) กลับฟื้นคืนมา เพื่อให้เกิดการกระตือรือร้นในจังหวัด เกิดการท่องเที่ยวตามมา
สำหรับนโยบายที่จะต้องเร่งผลักดันโดยเร็ว คือ นโยบายการคลัง การส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่จะพยายามให้เกิดการลงทุนในท้องถิ่น เพื่อให้ท้องถิ่นกลายเป็นแกนกลางการพัฒนาเศรษฐกิจ นอกจากนี้ จะเร่งผลักดันสินค้าบางชนิดให้เป็นสินค้าขึ้นชื่อของแต่ละจังหวัดไปแข่งขันกับตลาดโลก ด้วยวิธีการสร้างการรวมกลุ่มอุตสาหกรรม (คลัสเตอร์) ให้เกิดการตั้งโซนสินค้าครอบคลุม 3-4 จังหวัด ดึงผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศเข้ามาตั้งโรงงาน รวมทั้งต้องมีเทคโนโลยีและวิทยาการทันสมัย โดยเบื้องต้นกำหนดไว้ 6-7 คลัสเตอร์ คาดว่าจะจัดทำรายละเอียดคลัสเตอร์เสร็จใน 1 เดือนจากนี้ และนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ก่อนจะเปิดเชิญชวนนักลงทุนต่างชาติต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีนโยบายให้พัฒนานักรบใหม่ทางเศรษฐกิจด้วย โดยนักรบใหม่ดังกล่าวหมายถึงกลุ่มเอสเอ็มอีรุ่นใหม่ รัฐบาลจะหาทางให้เอสเอ็มอีสามารถยกระดับธุรกิจโดยใช้เทคโนโลยี พร้อมทั้งลดอุปสรรคการค้า และให้สินค้าที่มีแบรนด์ดังอยู่แล้ว ช่วยนำพาเอสเอ็มอีดังกล่าวไปเปิดตลาดต่างประเทศ ซึ่งนักรบใหม่ดังกล่าวที่น่าให้การสนับสนุนในปัจจุบันคือ คลัสเตอร์ไอที ส่วนการลงทุนขนาดใหญ่โครงสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ต้องทำควบคู่กันไปด้วย เช่น รถไฟฟ้าสายต่างๆ รถไฟรางคู่ เป็นต้น
“ผมไม่เคยพูดแม้แต่คำเดียวว่าจีดีพีจะต้องเติบโตแค่ไหน เพราะจีดีพีเป็นแค่ปลายเหตุ ถ้าพื้นฐานเศรษฐกิจดี กำกับดูแลดี เศรษฐกิจก็จะดี จีดีพีก็จะเติบโตไปเอง ซึ่งมาตรการระยะสั้นไม่ใช่กระตุ้นจีดีพี แต่ประคองเศรษฐกิจท้องถิ่นให้แข็งแรง แล้วระยะยาวจีดีพีจะเติบโตอย่างมั่นคงไม่แพ้ชาติอื่น ทั้งนี้ การผลักดันเศรษฐกิจได้จะต้องได้รับความร่วมมือจากเอกชนเป็นหลักด้วย" นายสมคิดกล่าว และว่า แนวนโยบายดังกล่าวจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดในเวลาที่มีอยู่ 1 ปีนี้
ขอขอบคุณข่าวจาก