- Home
- Isranews
- เกาะประเด็น
- ศาลสั่งจำคุก'วีระกานต์-ตู่-เต้น' 1ปี หมิ่น 'วัชระ เพชรทอง'
ศาลสั่งจำคุก'วีระกานต์-ตู่-เต้น' 1ปี หมิ่น 'วัชระ เพชรทอง'
ศาลสั่งจำคุก "วีระกานต์-ตู่-เต้น" แกนนำม็อบนปช. คนละ 1 ปี จัดรายการหมิ่นประมาท"วัชระ เพชรทอง" อดีตส.ส.ปชป.กล่าวหาตีพิมพ์หนังสือโดยมีเจตนาให้ร้าย"สมัคร สุนทรเวช" แต่ศาลปรานีโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี และชดใช้เงินจำนวน 6 แสนบาท
วันนี้ (2 ก.ย.) ที่ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.4977/2555 ที่นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายวีระกานต์ หรือวีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) , นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. , นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ,332 ,328, และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และเรียกค่าเสียหาย 10 ล้านบาทเรียกค่าเสียหายร้อยละ 7.5 ต่อปี
โดยคดีนี้โจทก์ ยื่นฟ้อง ระบุว่า เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2552 จำเลยที่ 1-3 จัดรายการความจริงวันนี้ ออกอากาศสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพีทีวี ของคนเสื้อแดง กล่าวหาว่าโจทก์ พิมพ์หนังสือชื่อ“สมัคร ทักษิณจาบจ้วง ป๋าเปรม ถึงนอมินี ” ขึ้นมาใหม่หลังจากที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว และพวกจำเลยยังเรียกร้องให้คนเสื้อแดงมาคุกคามโจทก์ที่พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่หนังสือดังกล่าวได้พิมพ์เผยแพร่ ที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 23 มี.ค.2551 โดยมีคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช เป็นประธานในพิธีเปิดตัวหนังสือฉบับนี้ ร่วมกับนายปรีชา สามัคคีธรรม ก่อนที่นายสมัครจะถึงอสัญกรรม จำเลยทั้ง 3 ให้การปฏิเสธ
โดยในวันนี้โจทก์และจำเลยพร้อมทีมทนายความเดินทางมาศาล
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้ว โจทก์มีพยานหลายปาก เบิกความสอดคล้องซึ่งข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 3 ได้ร่วมกันจัดรายการความจริงวันนี้ออกอากาศผ่านช่องดาวเทียมทีวีเมื่อค่ำวันที่ 27 พ.ย.2552 โดยจำเลยทั้ง3 นำหนังสือ“ สมัคร จาบจ้วง ป๋าเปรม ถึงนอมินีทักษิณ ”ที่โจทก์จัดพิมพ์ มาแสดงในรายการพร้อมกล่าวหาว่าโจทก์ได้จัดทำหนังสือขึ้นมาใหม่หลังจากที่นายสมัคร ถึงอสัญกรรมแล้ว ซึ่งจำเลยทั้ง3 กล่าวว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี และเมื่อมีผู้รับชมการออกอากาศแล้ว ต่อมาวันที่ 28 พ.ย.2552 มีผู้ชุมนุมหลายร้อยคนไปชุมนุมหน้าที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์เพื่อเรียกร้องให้โจทก์ออกมาขอขมา และยังมีการร้องเรียนสภาผู้แทนราษฎรให้มีการตรวจสอบจริยธรรมโจทก์ ซึ่งทางนำสืบโจทก์มี แผ่นซีดีบันทึกการออกอากาศดังกล่าว มาแสดงพร้อมพยานบุคคลที่เบิกความสอดคล้องต้องกันไม่มีข้อพิรุธ
นอกจากนี้โจทก์ยังมีพยานที่ได้ร่วมเปิดตัวหนังสือเมื่อปี 2551 มาเบิกความ พร้อมมีพยานหลักฐานเป็นภาพถ่ายซึ่งรับฟังได้ว่า โจทก์ได้จัดพิมพ์หนังสือตั้งแต่ช่วงมีนาคม 2551 ก่อนที่นายสมัครจะถึงอสัญกรรม และจัดพิมพ์เพียงครั้งเดียวไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหน้าปกหนังสือที่เป็นพื้นสีดำและรูปหน้าของนายสมัคร โดยการเปิดตัวหนังสือก็มีสื่อมวลชนและบุคคลอื่นร่วมอยู่ด้วย จึงไม่ใช่การพิมพ์หนังสือไว้อาลัยในช่วงที่นายสมัครเสียชีวิต
ส่วนที่จำเลยอ้างว่าได้หนังสือนี้ มาจากผู้สื่อข่าวที่อาคารรับสภาซึ่งระบุว่ามีการนำมาแจกให้กับผู้สื่อข่าวนั้น จำเลยก็ไม่ได้มีพยานในส่วนนี้มาเบิกความ และที่อ้างว่าไม่มีเวลาในการตรวจสอบข้อมูลก่อน ส่วนการกล่าวถึงโจทก์ในรายการเป็นกล่าวในลักษณะตักเตือน ศาลเห็นว่าจำเลยทั้ง 3 เองเคยทำงานการเมืองมาหลายปี อีกทั้งหากจะมีการออกอากาศก็ควรจะต้องใช้ความระมัดระวังตรวจสอบข้อมูลก่อนเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายข้อต่อสู้ของจำเลยจึงเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ
การกระทำของจำเลยทั้ง 3 ยกหนังสือขึ้นมาพร้อมกล่าวตำหนิโจทก์ ซึ่งมีการเผยแพร่ทางสถานีพีทีวี ที่มีผู้ชมจำนวนมากและยังสามารถดูย้อนหลังได้ผ่านเว็บไซด์ของสถานีโดยที่การกล่าวของจำเลยทั้ง 3 ไม่เป็นความจริงนั้นทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการละเมิดซึ่งทำให้โจทก์ที่เคยเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเคย กมธ.หลายคณะได้เสื่อมเสียกิตติคุณรวมทั้งครอบครัวโจทก์ก็ได้รับผลกระทบด้วย จึงเห็นสมควรให้จำเลยทั้ง 3 ต้องชดใช้จากการทำละเมิดต่อโจทก์ด้วย
แต่ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้ง 3 ร่วมกันกระทำความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ในการนำข้อความที่กล่าวในรายการนำมาลงในเว็บไซด์นั้น โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้เห็นว่าจำเลยทั้ง 3 เป็นผู้นำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ พยานหลักฐานโจทก์จึงยังน่าสงสัยว่าจำเลยทั้ง 3 ไม่ได้เป็นผู้นำข้อมูลเข้าสู่ระบบหรือเป็นผู้สั่งการให้กระทำ
จึงพิพากษาให้ลงโทษจำเลยทั้ง 3 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ ตามมาตรา 328 และ 332 ให้จำคุกจำเลยทั้ง 3 คนละ 1 ปี ปรับ คนละ 5หมื่นบาท หากไม่ชำระค่าปรับก็ให้กักขังแทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29 แต่ในส่วนของโทษจำคุกนั้นเมื่อศาลพิจารณาพฤติการณ์แล้วเห็นว่าไม่ร้ายแรงจึงให้รอการลงโทษจำเลยทั้ง 3 ไว้กำหนดคนละ 2 ปี
โดยศาลยังมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้ง 3 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจากการทำละเมิดโจทก์จำนวน 6 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันที่ 29 ธ.ค.55 และให้จำเลยทั้ง 3 ร่วมกันโฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์ คมชัดลึก และแนวหน้า เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน โดยให้จำเลยทั้ง 3 ชำระค่าทนายความแทนโจทก์ด้วย 1หมื่นบาท
นายสุภาพ เพชรศรี ทนายความจำเลย ระบุว่าจะต้องยื่นอุทธรณ์ในส่วนของคดีอาญา และแพ่งซึ่งแม้เรายอมรับว่าได้กล่าวถึงโจทก์ในรายการจริงแต่เรายืนยันว่า เจตนาเพื่อตักเตือนโจทก์อีกทั้งพบว่าหนังสือแม้จะพิมพ์ตั้งแต่ 2551 แต่ก็ยังมีการนำมาแจกอยู่
ด้านนายวัชระ กล่าวว่าตนเคารพในคำพิพากษาของศาล แต่กระบวนการพิจารณายังไม่สิ้นสุด ซึ่งตนก็จะให้ทนายความยื่นอุทธรณ์ต่อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่ศาลอุทธรณ์จะใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาในคดีนี้ต่อไป
เมื่อถามต่อว่า กรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ออกมาแถลงจุดยืนสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ (รธน.) ซึ่งสวนทางกับความคิดของนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มองแบบไหนแล้วทางด้านพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นไปในทิศทางไหน นายวัชระกล่าวว่า ตนเป็นลูกพรรค คงต้องปฏิบัติตามหัวหน้าพรรค เพราะหัวหน้าพรรคมีความคิดในเรื่องที่จะเสนอให้ สปช.คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ตนในฐานะลูกพรรคก็ต้องเห็นด้วยกับความคิดของหัวหน้าพรรค และส่วนความคิดส่วนตัวนั้นตนเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไม่ควรผ่านในชั้นของ สปช.เพราะถ้าร่าง รธน.ผ่านแล้วไปถึงชั้นของประชามติก็จะเกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับประชาชน ซึ่งถ้าผลประชามติออกมาในทางด้านไม่รับร่าง รธน.ก็จะนำไปสู่เงื่อนไขการขับไล่รัฐบาล คสช. ในที่สุด ซึ่งนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ มีความหวังดีต่อประเทศชาติ จึงเห็นว่า สปช.ควรจะใช้วิจารณญาณให้รอบครอบมาที่สุด เพราะในการพิจารณาร่างของ สปช. ความขัดแย้งจะยังคงอยู่ที่สภาไม่ได้ขยายวงไปทั่วประเทศ ซึ่งถ้าหากร่างผ่าน สปช.ไปแล้ว รัฐบาลก็ไม่มีสิทธิที่จะห้ามความคิดของประชาชน ที่ไม่เห็นด้วยกับร่าง รธน.ฉบับนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของการปราบปรามทุจริต ซึ่งร่าง รธน.ฉบับใหม่ได้ตัดอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ในการที่จะวินิจฉัยไต่สวน ข้าราชการที่ประพฤติมิชอบ ตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการกองขึ้นไปและร่วมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยร่าง รธน.ฉบับใหม่ได้ตัดอำนาจส่วนที่มีอยู่เดิมทั้งหมดโดยให้วินิจฉัยและไต่สวนได้เพียงหัวหน้าส่วนราชการเท่านั้น ซึ่งทำให้ ป.ป.ช. ไม่สามารถแสวงหาหลักฐานการประพฤติมิชอบของราชการได้ทั้งระบบ เพราะทุกอย่างมันเป็นกระบวนการ มิได้หมายความว่าหัวหน้าส่วนราชการจะประพฤติมิชอบเพียงคนเดียว แต่เริ่มขึ้นตั้งแต่ระดับร่างขึ้นไปจนถึงหัวหน้าส่วนราชการ
เมื่อถามว่าถ้าหากร่าง รธน.ผ่านโหวตแล้ว ทางด้านพรรคประชาธิปัตย์จะมีการเคลื่อนไหวไปในทางใด นายวัชระกล่าวว่า ตอนนี้นายอภิสิทธิ์เดินทางไปต่างประเทศอยู่ ต้องรอฟังว่าหัวหน้าพรรคจะส่งสัญญานอย่างไรต่อไป
ขอบคุณข่าวจาก