- Home
- Isranews
- เกาะประเด็น
- สปท.เลือก“ทินพันธุ์”นั่งประธาน ไร้คู่แข่ง
สปท.เลือก“ทินพันธุ์”นั่งประธาน ไร้คู่แข่ง
ประชุม สปท.นัดแรกเลือก“ทินพันธุ์”นั่งประธานแบบไร้คู่แข่ง หวังสมาชิกร่วมมือขับเคลื่อนประเทศ "อลงกรณ์-วลัยรัตน์"ลอยลำคว้ารองประธานฯคนที่ 1,2
เมื่อวันที่ 13 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานงานจากรัฐสภาว่า ตั้งแต่ช่วงเช้า ได้มีบรรดาสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) ทยอยเดินทางมาที่รัฐสภาอย่างคึกคัก เนื่องจากจะมีการเปิดประชุมสภาปฏิรูปประเทศ ครั้งที่ 1/2558 ในเวลา 09.30 น. โดยนายจเร พันธุ์เปรื่อง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ได้เชิญสมาชิกผู้มีอาวุโสสูงสุดขึ้นทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมชั่วคราว คือนายชัย ชิดชอบ ที่มีอายุ 87 ปี ขึ้นทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ต่อด้วยที่ประชุมรับทราบประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการแต่งตั้งสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ จำนวน 200 คน และสมาชิกสปท.ที่ได้รับการแต่งตั้งกล่าวปฏิญาณตนต่อที่ประชุม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้น ที่ประชุมจะเข้าสู่วาระการเลือกประธาน สปท.และรองประธาน สปท. โดยวิธีการเลือกประธานนั้นจะใช้วิธีการเสนอชื่อขึ้นมา และจะต้องมีผู้รับรองบุคคลนั้น ไม่น้อยกว่า 10 คน หากผู้ถูกเสนอไม่ถอนตัว ก็จะให้มีการแสดงวิสัยทัศน์ คนละ 5 นาที จากนั้นนำรายชื่อของบุคคลที่ถูกเสนอมาลงมติเลือกโดยที่ประชุม ซึ่งจะเป็นวิธีการลงคะแนนแบบลับด้วยการเขียนชื่อบุคคลที่เลือกใส่ซอง และนำไปหย่อนในกล่องลงคะแนนและให้ลงคะแนนตามลำดับตัวอักษร แต่ทั้งนี้หากมีเพียงชื่อเดียวที่ถูกเสนอ ก็ไม่จำเป็นต้องลงมติ เช่นเดียวกับตำแหน่งรองประธานสปท. หากมีผู้เสนอชื่อเกิน 2 คน ก็ต้องให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อแสดงวิสัยทัศน์ ก่อนที่จะให้สมาชิกลงคะแนนลับเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 09.20 น. นางปัทมา เทียรวิศิษฎ์สกุล ที่เพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศ ได้มารายงานตัวเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสปท.เป็นคนสุดท้าย.
เมื่อการประชุมสปท.เริ่มขึ้นซึ่งมีจำนวนสมาชิกสปท.ลงชื่อ 182 คน พล.อ.จิระ โกมุทพงศ์ สมาชิกสปท. ได้ประกาศถอนตัวการลงชิงตำแหน่งรองประธานสปท. คนที่ 1 จึงเหลือเพียงนายอลงกรณ์ พลบุตร ถูกเสนอชื่อเพียงคนเดียว ขณะที่น.ส.วลัยรัตน์ ศรีอรุณ ยังคงมีชื่อเป็นผู้ชิงตำแหน่งรองประธานฯ คนที่ 2
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกประธานและรองประธาน สปน.นั้น พล.อ.ฐิติวัฒน์ กำลังเอก สปท.ได้เสนอชื่อ ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ สมาชิก สปท. อดีตรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลพล.อ.สุจินดา คราประยูร ชิงตำแหน่งป็นประธาน สปท. แต่ปรากฏว่านายวิทยา แก้วภราดัย สปท. เสนอเลื่อนการเลือกประธานสปท.ออกไปก่อน โดยอ้างว่าสมาชิกยังไม่รู้จักผู้ที่ได้รับเสนอชื่อทุกคนเพียงพอ ซึ่งนายกษิต ภิรมย์ กล่าวสนับสนุนด้วย ขณะที่มีสมาชิกสปท.บางส่วน เช่น พ.อ.อาณันย์ วัชโรทัย นายเสรี สุวรรณภานนท์ เป็นต้น คัดค้านพร้อมระบุว่าไม่จำเป็นต้องเลื่อน ให้ดำเนินการตามระเบียบวาระต่อไป หลังจากการถกเถียงดังกล่าวใช้เวลา 30 นาที นายชัยพูดตัดบท โดยกล่าวว่า มีใครเสนอชื่อบุคคลอื่นอีกหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีการเสนอชื่อคนอื่นอีก กระทั่งเวลา 10.35 น. นายชัย กล่าวต่อที่ประชุมว่า เมื่อไม่มีผู้แข่งขัน ทำให้ร.อ.ทินพันธ์เป็นผู้ได้รับตำแหน่งประธาน สปท.
จากนั้น พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิชย์ สปท. เสนอให้ร.อ.ทินพันธุ์ แสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุมเป็นเวลา 2 นาที โดยร.อ.ทินพันธุ์ กล่าวว่า ขอบคุณสมาชิกทุกคนที่เลือกตนมาทำหน้าที่ หวังว่าจะได้รับความร่วมมมือในการขับเคลื่อนประเทศ สานต่อผลงานของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ทั้งนี้สปท.ต้องรับฟังความคิเห็นของคณะรัฐมนตรี(ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ข้าราชการประจำ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ประชาชนทั่วไป และการเมืองในฝ่ายต่างๆ ตนขอความร่วมมือให้สมาชิกทำงานอย่างเป็นหนึ่งเดียวกันในการปฏิรูปประเทศ
"ส่วนเรื่องอายุที่หลายฝ่ายกังวล วันนี้ผมยังทำงานมากกว่าตอนเป็นหนุ่ม ทุกวันนี้ยังสอนหนังสือ เขียนหนังสือ ทำงานวิจัย และในวันเสาร์-อาทิตย์ ยังสอนหนังสือได้วันละหลายชั่วโมง"ประธานสปท.คนใหม่ กล่าว
จากนั้น พล.ต.ท.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา เสนอชื่อนายอลงกรณ์ เป็นรองประธานสปท.คนที่ 1 ด้านนายเฉลิมศักดิ์ อบสุวรรณ เสนอชื่อน.ส.วลัยรัตน์ เป็นรองประธานคนที่ 2 ซึ่งทั้งหมดไม่มีคู่แข่งขัน โดยนายอลงกรณ์ กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ว่า ตนพร้อมจะเป็นสะพานเชื่อมการทำงานแม่น้ำ 5 สาย และเชื่อมอดีตไปสู่อนาคต ขณะที่น.ส.วลัยรัตน์ กล่าวแสดงวิสัยทัศน์เช่นกันว่า จะทำหน้าที่เต็มความสามารถตามที่ได้ปฏิญาณ และจะดำเนินการ 37 วาระการปฏิรูปประเทศให้เป็นผล ต่อมาเวลา 10.59 น. นายชัย ในฐานะประธานที่ประชุม กล่าวสรุปว่า ร.อ.ทินพันธุ์ ดำรงตำแหน่งประธานสปท. นายอลงกรณ์ รองประธานฯ คนที่ 1 และน.ส.วลัยรัตน์ ดำรงตำแหน่งรองประธานฯ คนที่ 2 จากนั้น นายชัยสั่งปิดการประชุมในเวลา 11.01 น.
ขอบคุณข่าวจาก