- Home
- Isranews
- เกาะประเด็น
- ศาลยกฟ้องคดีจ้างวานฆ่า 'แกนนำค้านโรงไฟฟ้าบ่อนอก'
ศาลยกฟ้องคดีจ้างวานฆ่า 'แกนนำค้านโรงไฟฟ้าบ่อนอก'
ศาลฎีกายกฟ้อง คดีจ้างวานฆ่า“ เจริญ วัดอักษร”แกนนำค้านโรงไฟฟ้าบ่อนอก คดีจ้างวานฆ่าเหตุไม่มีพยานสืบชัดเอี่ยววางแผน ส่วนการจ้างวานมีเพียงมือปืนจำเลยร่วมที่ตายแล้ว
วันที่ 13 ตุลาคม 2558 ที่ห้องพิจารณา 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีจ้างวานฆ่านายเจริญ วัดอักษร แกนกลุ่มคัดค้านการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก หมายเลขดำ ด.2945/2547 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายเสน่ห์ เหล็กล้วน (เสียชีวิตแล้วในเรือนจำ) , นายประจวบ หินแก้ว (เสียชีวิตแล้วในเรือนจำ) , นายธนู หินแก้ว อาชีพ ทนายความ อายุ 53 ปี , นายมาโนช หินแก้ว อดีต ส.จ.ประจวบคีรีขันธ์ อายุ 49 ปี , และนายเจือ หินแก้ว อดีตกำนัน ต.บ่อบอก อายุ 78 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน , ร่วมกันจ้างวานฆ่าผู้อื่น และ พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ฯ พ.ศ.2490
ตามฟ้องอัยการโจทก์เมื่อวันที่ 9 ก.ย.47 ระบุว่า ระหว่างต้นปี 2547 – 21 มิ.ย.47 จำเลยที่ 3-5 ร่วมกันจ้างวานให้จำเลยที่ 1-2 ฆ่านายเจริญ วัดอักษร อายุ 37 ปี ประธานกลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ แกนนำคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบ่อนอกของ บริษัท กัลฟ์ อิเล็คทรอนิค ซึ่งจำเลยที่ 1-2 ใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. ยิงนายเจริญ รวม 9 นัด จนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ที่ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ขณะนายเจริญ ลงจากรถทัวร์โดยสารสายกรุงเทพ-บางสะพาน หลังจากเดินทางไปให้ปากคำ กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่องของการบุกรุกที่ดินสาธารณะคลองชายธงในเขต อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ แล้วจำเลยทั้งสองพากันหลบหนีไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวจำเลยได้ เหตุเกิดที่ บริเวณสี่แยกบ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ส่วนนายเสน่ห์ และนายประจวบ จำเลยที่ 1-2 กลุ่มมือปืน ที่ถูกคุมขังในเรือนจำได้เสียชีวิตเมื่อเดือน ส.ค.2549 ระหว่างการพิจารณาคดีศาลชั้นต้น
โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.51 ว่านายธนู หินแก้ว จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานผู้ใช้ฆ่าผู้อื่นฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4) ให้ประหารชีวิต ส่วนนายมาโนช และนายจือ จำเลยที่ 4 - 5 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานนำสืบไม่ชัดเจนไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ขณะที่ศาลอุทธรณ์ มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 15 มี.ค.56 พิพากษายืนยกฟ้อง นายมาโนช และนายเจือ จำเลยที่ 4 – 5 โดยพิพากษากลับให้ยกฟ้องนายธนู หินแก้ว จำเลยที่ 3 จากเดิมที่ถูกศาลชั้นต้นตัดสินประหารชีวิตฐานจ้างวานพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่เพียงพอให้เอาผิดจำเลยได้
ขณะที่ระหว่างฎีกานายธนู อาชีพ ทนายความ , นายมาโนช อดีต ส.จ.ประจวบคีรีขันธ์ และนายเจือ อดีตกำนัน จำเลยที่ 3 - 5 ได้รับการปล่อยตัว
แต่วันนี้คงมีเพียง นายมาโนช อดีต ส.จ.ประจวบคีรีขันธ์ และนายเจือ อดีตกำนัน จำเลยที่ 4 - 5 เดินทางฟังคำฟังคำพิพากษาเท่านั้น ขณะที่นายธนู อาชีพทนายความ จำเลยที่ 3 ก็ไม่ได้เดินมาศาล ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลได้ออกหมายจับนายธนู จำเลยที่ 3 เมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา ให้มาฟังคำพิพากษาแล้ว หลังจากที่นายธนู ไม่แจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาฟังคำพิพากษาในครั้งแรก ดังนั้นศาลจึงให้อ่านคำพิพากษาลับหลัง นายธนู จำเลยที่ 3
ทั้งนี้ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3-5 เป็นผู้จ้างวานใช้ จำเลยที่ 1 -2 ฆ่าผู้ตายหรือไม่นั้น ก็ได้ความจากพนักงานสอบสวน พยานโจทก์ ว่าจากการสอบสวนพบจำเลยที่ 1- 2 ร่วมกันยิงผู้ตาย ขณะกำลังลงจากรถประจำทางโดยใช้อาวุธปืนคนละกระบอก ซึ่งชั้นจับกุมจำเลยที่ 1-2ให้การปฏิเสธ แต่ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนโดยซัดทอดว่านายธนู จำเลยที่ 3 ร่วมวางแผน และภายหลังยิงผู้ตายได้โทรศัพท์ไปหา นายมาโนช อดีต ส.จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำเลยที่ 4 ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ยิง อยู่ในความครอบครองของนายเจือ อดีตกำนัน จำเลยที่ 5 โดยนายเสน่ห์ จำเลยที่ 1 ให้การด้วยว่า จำเลยอยู่ในกลุ่มสนับสนุนให้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าและขัดแย้งกับผู้ตาย ซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามทำให้เกิดความไม่พอใจ และวันเกิดเหตุได้พบกับนายประจวบ จำเลยที่ 2 ระหว่างนั้น เห็นผู้ตายเดินมาคนเดียวจึงใช้อาวุธปืนยิงโดยไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน และไม่ได้มีลักษณะเป็นการจ้างวาน
ศาลฎีกา เห็นว่า คำให้การของจำเลยที่ 1-2 เป็นคำซัดทอด และขัดแย้งกันเองในหลายประเด็น จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ อีกทั้งโจทก์ ก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นชัดเจนว่า นายมาโนช และนายเจือ จำเลยที่ 4 - 5 เข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไร และไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าได้ร่วมกับนายธนู จำเลยที่ 3 วางแผนฆ่าผู้ตายที่ใด มีเพียงคำพูดของนายมาโนช จำเลยที่ 4 ที่ได้สอบถามจำเลยที่ 1-2 ภายหลังยิงผู้ตายแล้วกลับมาที่บ้านพักว่าไปทำอะไรกันมา แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 4 - 5 ไม่น่าจะรู้เห็นกับเหตุการณ์ดังกล่าว
ดังนั้นคำให้การของนายเสน่ห์ และนายประจวบ จำเลยที่ 1 -2 ในชั้นสอบสวนเป็นพยานบอกเล่าและเป็นเพียงคำซัดทอด อีกทั้งจำเลยที่1 - 2 เสียชีวิตระหว่างพิจารณาคดี ทำให้จำเลยที่ 3 - 5 ไม่มีโอกาสซักค้าน การรับฟังคำให้การที่เป็นการซัดทอดดังกล่าวจึงต้องทำอย่างรอบคอบและระมัดระวังที่ต้องมีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนด้วย
เมื่อโจทก์ ไม่มีพยานหลักฐานที่มั่นคง แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 3 - 5 ร่วมกระทำผิดฐานจ้างวานฆ่าผู้อื่น ขณะที่จำเลยที่ 3-5 ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด พยานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 3 – 5 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืน ส่วนนายธนู จำเลยที่ 3 นั้น ก็ให้เพิกถอนหมายจับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ นางกรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยานายเจริญ แกนกลุ่มคัดค้านการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก ผู้ตาย ได้เดินทางมาพร้อมกลุ่มชาวบ้าน ที่สวมเสื้อยืดสีเขียวสัญลักษณ์กลุ่มคัดค้านฯ กว่า 100 คน เพื่อฟังคำพิพากษาฎีกาด้วย
ภายหลัง นางกรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยานายเจริญ กล่าวว่า คำพิพากษาไม่ได้เหนือความคาดหมายของตนและชาวบ้านซึ่งเราไม่เห็นด้วย แต่ในฐานะประชาชนก็ต้องยอมรับคำพิพากษา ระหว่างที่ติดตามคดีการตายของสามี ตลอด 11 ปีได้เรียนรู้หลายอย่าง ซึ่ตนคิดว่าควรจะต้องเร่งปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน ขณะที่พี่น้องพวกเรา อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่ได้ต่อสู้ เพื่อรักษาฐานทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่กลับถูกจำคุกคนละ 21 ปี 6 เดือน
นางกรณ์อุมา กล่าวอีกว่า ตนและชาวบ้าน จะต่อสู้ต่อไป โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่สาธารณะคลองชายธง ที่ปัจจุบันมีสถานการณ์ ทวีความรุนแรง และตึงเครียดเพิ่มขึ้น เพราะมีนายทุน ข้าราชการและอิทธิพลเถื่อน พยายามที่จะเข้ามาครอบครองพื้นที่สาธารณะ ซึ่งเป็นพื้นที่ระบบนิเวศและเป็นฐานทรัพยากรชุมชนไปทำเป็นมหาวิทยาลัย จึงอยากให้สื่อมวลชนเฝ้าติดตามด้วย เพราะการที่ผู้กระทำความผิดคดีนี้ได้พ้นไป จะทำให้กลุ่มทุนและอิทธิพลในพื้นที่เหิมเกริมมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้แกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมจะทำอย่างไร นางกรณ์อุมา กล่าวว่า คงต้องหารือกับชาวบ้านว่าดำเนินการไปในทิศทางใด ซึ่งตนและชาวบ้านหวังสิทธิคุ้มครองจากกระบวนการยุติธรรมกับทุกภาคส่วน แต่ตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้ว ดังนั้นพี่น้องในพื้นที่จะต้องช่วยเหลือและดูแลกันเอง
ขณะที่นายเจือ อดีตกำนัน อายุ 78 ปี ที่ตกเป็นจำเลยที่ 5 นั้น กล่าวว่า ตลอดเวลา 11 ปีที่ผ่านมา ตนถูกกล่าวหาตกเป็นจำเลยทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ถือว่าได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์แล้ว ส่วนที่กลุ่มชาวบ้านยังติดใจ ก็เป็นเรื่องเขา ตนไม่เกี่ยวข้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลังที่รับทราบศาลฎีกาที่พิพากษายกฟ้องแล้ว นายมาโนช อดีต ส.จ.ประจวบคีรีขันธ์ และนายเจือ อดีตกำนัน จำเลยที่ 4 – 5 ก็ได้เดินทางกลับโดยมีกลุ่มผู้ติดตามร่วม 10 คน ดูแล
ขอบคุณข่าวจาก