- Home
- Isranews
- เกาะประเด็น
- ศาลอุทธรณ์ยืนยกฟ้อง “พล.ต.ท.สมคิด”พร้อม 4 อดีตตร. คดีอุ้มฆ่า”อัลรูไวลี่”
ศาลอุทธรณ์ยืนยกฟ้อง “พล.ต.ท.สมคิด”พร้อม 4 อดีตตร. คดีอุ้มฆ่า”อัลรูไวลี่”
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนยกฟ้อง " พล.ต.ท.สมคิด " พร้อม 4 อดีตตำรวจ ไม่ผิด คดีอัยการฟ้อง อุ้มฆ่า อัลรูไวลี่ นักธุรกิจซาอุชี้ มีเพียงพยานบอกเล่า
วันที่ 3 พ.ค.59 ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีอุ้มฆ่านักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย หมายเลขดำ อ.119/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตจเรตำรวจ และอดีต ผบช.ภ.5 , พ.ต.อ.สรรักษ์ หรือสมชาย จูสนิท ผกก.สภ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน , พ.ต.อ.ประภาส ปิยะมงคล ผกก.สภ.น้ำขุ่น จ.อุบลราชธานี , พ.ต.ท.สุรเดช อุดมดี และ จ.ส.ต.ประสงค์ ทอรั้ง ตำรวจนอกราชการ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อปกปิดการกระทำความผิดอื่นของตน และเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นความผิดทางอาญาที่ตนได้กระทำไว้ ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 , 289 , 309 , 310 และขอให้ศาลมีคำสั่งคืนแหวนของกลางคืน ให้แก่ทายาทของนายโมฮัมหมัดอัลรูไวลี่ด้วย
ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 12 ม.ค.53 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อประมาณปี 2530 เกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างรุนแรงระหว่างรัฐบาลซาอุฯ ที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม นิกายสุหนี่ กับรัฐบาลประเทศอิหร่าน ที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม นิกายชีอะห์ เนื่องจากความขัดแย้งทางศาสนา รวมทั้งสาเหตุที่รัฐบาลซาอุฯ ปราบปรามสลายการชุมนุมของกลุ่มประท้วงกลุ่มมุสลิม นิกายชีอะห์ ที่มาแสวงบุญที่เมืองเมกกะ ประเทศซาอุฯ ทำให้กลุ่มผู้ประท้วงที่ส่วนใหญ่เป็นชาวอิหร่านเสียชีวิตจำนวนมาก จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดเหตุลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่นักการทูตของรัฐบาลซาอุฯ ในประเทศต่างๆ กระทั่งเมื่อวันที่ 4 ม.ค.32 เกิดเหตุคนร้ายลอบฆ่านักการทูตของสถานเอกอัครราชทูตซาอุฯ ประจำประเทศไทยเสียชีวิต 1 คน เหตุเกิดที่แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตซาอุฯแจ้งขอร้องต่อรัฐบาลไทยให้ดูแลรักษาความปลอดภัยแก่สถานเอกอัครราชทูตซาอุฯ รวมทั้งเจ้าหน้าที่นักการทูตอย่างเต็มที่ และแจ้งเตือนถึงกรมตำรวจในขณะนั้นและกระทรวงการต่างประเทศของไทยในเรื่องดังกล่าวหลายครั้ง
แต่ต่อมาวันที่ 1 ก.พ.33 เกิดเหตุคนร้ายลอบฆ่านักการทูตซาอุฯอีก 2ครั้ง เสียชีวิตรวม 3 ราย เหตุเกิดที่แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตยานนาวา กทม. รัฐบาลไทยขณะนั้นสั่งการให้ พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ อ.ตร.(ขณะนั้น)ติดตามและนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ได้ กระทั่งระหว่างวันที่ 12-15 ก.พ.33 ต่อเนื่องกันจำเลยทั้งห้า ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจกองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจนครบาลพระนครใต้ กองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยจำเลยที่ 1 มียศเป็น พ.ต.ท. ตำแหน่ง รอง ผกก. จำเลยที่ 2 และ 3 มียศ ร.ต.อ. ตำแหน่ง รอง สว. จำเลยที่ 4 ยศ ร.ต.ท. ตำแหน่ง รอง สว. และจำเลยที่ 5 ยศ จ.ส.ต. ตำแหน่ง ผบ.หมู่ ซึ่งพวกจำเลยได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ติดตามสืบสวนจับกุมคนร้ายที่ฆ่านักการทูตซาอุฯ โดยจำเลยกับพวกบังอาจร่วมกันลักพาตัว นายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุฯ ซึ่งเป็นพระญาติกษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย จัดส่งแรงงานไทยไปทำงานที่ซาอุฯ เนื่องจากจำเลยหมดเข้าใจว่า นายอัลรูไวลี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของนักการทูตซาอุฯ เพราะมีความขัดแย้งกันเรื่องจัดส่งแรงงานไทย
โดยจำเลยบังคับนำตัวนายอัลรูไวลี่ ไปหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังไว้ที่โรงแรมฉิมพลี แขวงคลองตัน เขตพระโขนง กทม. บังคับข่มขืนใจใช้กำลังประทุษร้าย ชกต่อย และทำร้ายร่างกายโดยวิธีการต่างๆมีวัตถุประสงค์เพื่อซักถามข้อเท็จจริง เพื่อให้นายอัลรูไวลี่ ยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่านักการทูตซาอุฯ ทั้งนี้จำเลยมีเจตนาฆ่านายอัลรูไวลี่ จนถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อปกปิดความผิดของตนในความผิดที่จำเลยร่วมกันลักพาตัวนายอัลรูไวลี่มาหน่วงเหนี่ยวกักขัง และทำร้ายร่างกายเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ดังกล่าวมา คำฟ้องระบุด้วยว่าจำเลยทั้งห้ายังได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย ชกต่อยทำร้ายร่างกายนายอัลรูไวลี่ โดยวิธีการต่างๆ และร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงจนถึงแก่ความตาย สมดังเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
และร่วมกันซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ โดยนำศพของนายอัลรูไวลี่ ไปเผาทำลายภายในไร่ท้องที่ ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เพื่อปิดบังการตายหรือปิดบังสาเหตุของการตาย เหตุเกิดที่แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตยานนาวา แขวงบางกะปิ เขตบางกะปิ แขวงคลองตัน เขตพระโขนง และที่ ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เกี่ยวพันกัน ต่อมาเมื่อวันที่ 24 พ.ย.52 จำเลยทั้งห้าได้พบกับพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม โดยแจ้งข้อกล่าวหาและทำการสอบสวนแล้ว ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ยึดแหวนของ นายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี่ ที่สวมใส่อยู่ขณะเกิดเหตุจำนวน 1 วงของกลาง จำเลยทั้งห้า แถลงให้การปฏิเสธต่อสู้คดีโดยตลอด
โดยศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาวันที่ 31มี.ค.57 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด เนื่องจากเห็นว่า ฝ่ายโจทก์ไม่ได้นำ พ.ต.ท.สุวิชัย แก้วผลึก พยานโจทก์ปากสำคัญเข้าเบิกความต่อศาล มีเพียงบันทึกคำให้การของ พ.ต.ท.สุวิชัย เท่านั้นทั้งยังมีข้อพิรุธน่าสงสัยเกี่ยวกับแหวนทองคำของผู้ตาย พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อพิรุธน่าสงสัย ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
ต่อมาอัยการ โจทก์ ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันเเล้ว พ.ต.ท. สุวิชชัย เบิกความว่า เคยเข้าไปในโรงเเรมฉิมพลีเเล้วพบนายโมฮัมหมัด และภายหลังยังได้พบเเหวนที่อ้างว่าเป็นของนายโมฮัมหมัดเเละเป็นพยานหลักฐานใหม่ โดยหลังจากนั้นก็มีการสอบสวนพนักงานโรงเเรมดังกล่าว
ศาลเห็นว่า คดีนี้ ครั้งแรกพนักงานอัยการ มีคำสั่งไม่ฟ้องในคดีไปเเล้ว แต่ภายหลังมีการอ้างคำให้การใหม่ของ พ.ต.ท.สุวิชชัย ที่พนักงานสอบสวนดีเอสไอมาดำเนินคดีใหม่ ซึ่งคำให้การดังกล่าวเเละเเหวนที่อ้างว่าเป็นของนายโมฮัมหมัดนั้นเคยปรากฏในสำนวนที่พนักงานอัยการเคยมีคำสั่งไม่ฟ้องไปเเล้ว พยานหลักฐานดังกล่าวจึงไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่นั้นศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย
ขณะที่ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า ที่มารดาของนายโมฮัมหมัด ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมนั้น โจทก์ยังไม่มีพยานหลักฐานว่านายโมฮัมหมัด เสียชีวิตหรือถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยตัวเอง ซึ่งส่วนคดีแพ่งที่ญาติของนายโมฮัมหมัด ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเป็นบุคคลสาบสูญนั้นศาลแพ่งและศาลอุทธรณ์ยกคำร้อง ดังนั้นจึงไม่อาจเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้
ส่วนจำเลยที่ 2 - 5 ได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นว่าจำเลย พานายโมฮัมหมัดเข้าไปในโรงเเรมฉิมพลี เพียงเเต่รับฟังได้ว่าเคยมีการใช้โรงเเรมดังกล่าวเป็นที่รวมพลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วน พ.ต.ท.สุวิชชัย พยานโจทก์ที่อ้างว่ามีการจับกุมตัวชาวซาอุฯ มาสอบสวน เเต่ก็ไม่ได้ระบุรายละเอียดว่าพนักงานสอบสวนนั้นมีใครบ้างที่เป็นผู้จับกุมเเละฆาตกรรมเผานายโมฮัมหมัด คำให้การจึงเป็นเพียงเเต่การคาดคิดของ พ.ต.ท.สุวิชชัยว่าผู้ที่กระทำจะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในสายงานซึ่งก็คือจำเลยที่ 2 - 5 ขณะที่พยานโจทก์ปาก พ.ต.ท.สุวิชชัย นั้นเป็นเพียงพยานบอกเล่าจากผู้อื่นซึ่งจะเป็นความจริงหรือไม่ ก็ไม่ทราบ อีกทั้งเมื่อ พ.ต.ท.สุวิชชัย ได้ทราบความดังกล่าวกลับไม่นำไปเล่าให้ผู้บังคับบัญชาฟัง
เเม้ภายหลัง พ.ต.ท.สุวิชชัย จะไปให้การ กับดีเอสไอว่าตัวเองเป็นผู้พบเห็นนายโมฮัมหมัดด้วยตัวเองที่โรงเเรมเเละพบเเหวนของนายโมฮัมหมัดตั้งเเต่ปี 2546 ซึ่งควรที่จะนำมาให้พนักงานสอบสวนในขณะนั้นเเต่กลับปล่อยเวลาทิ้งไว้ถึง 5 ปีเเล้วค่อยนำแหวนไปซ่อมก่อนมามอบให้พนักงานสอบสวนซึ่งอาจทำให้หลักฐานเสื่อมสลายไปได้ ขณะที่เจ้าของร้านเพชรแลละช่างซ่อมเเหวน เบิกความว่า เเหวนที่นำมาซ่อมนั้น ไม่มีร่องรอยไฟไหม้ ทั้งที่ พ.ต.ท.สุวิชชัย อ้างว่าได้เเหวนมาจากจำเลยที่ 4 ที่นำมาจากก้นถังน้ำมัน 200 ลิตรที่เผาทำลายนายโมฮัมหมัด ขณะที่ญาติของนายโมฮัมหมัดก็ไม่อาจยืนยันว่าเเหวานดังกล่าวเป็นของนายโมฮัมหมัด
และเเม้โจทก์ จะมี พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ มาเบิกความเพื่อให้สอดคล้องกับ พ.ต.ท.สุวิชชัย เเต่ก็เป็นเพียงพยานบอกเล่า ซึ่ง พล.ต.ท.ชลอ ระบุว่าได้ฟังมาจาก พ.ต.ท.สุวิชชัยเองเท่านั้น ประกอบกับอัยการโจทก์ ก็ไม่ได้นำ พ.ต.ท.สุวิชชัย มาเบิกความต่อศาลเพื่อให้โอกาสจำเลยที่ 2 - 5 ซักถามให้ได้ความอย่างชัดเเจ้ง จึงมีเพียงคำให้การของ พ.ต.ท.สุวิชชัยในชั้นสอบสวน เเละบันทึกถ้อยคำที่ยื่นมาภายหลังที่รับฟังไม่ได้ อีกทั้งคำให้การยังกลับไปกลับมา ไม่มีการเชื่อมโยงให้เห็นว่ามีการกระทำถึงนายโมฮัมหมัดถึงเเก่ความตาย
ข้อเท็จจริง จึงรับฟังได้ว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยาน ยืนว่าจำเลยทั้งหมดเป็นผู้กระทำให้นายโมฮัมหมัดถึงเเก่ความตาย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยเห็นพ้องด้วยในผลอุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน
ภายหลัง นายเอนก คำชุ่ม ทนายความผู้รับมอบอำนาจ จากมารดานายโมฮัมหมัด กล่าวว่า ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ได้วินิจฉัย 2 ประเด็นคือโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เเละพยานหลักฐานที่นำมาฟ้องไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ซึ่งก็จะกลับไปพิจารณาประเด็นข้อกฏหมายเพื่อที่จะยื่นฎีกา เเต่ประเด็นเเหวนจะถือเป็นพยานหลักฐานใหม่ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจศาล
ด้าน พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม จำเลย กล่าวขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรม พร้อมระบุว่า เป็นเวลากว่า 7 ปีที่ทนทุกข์ทรมานในการสู้คดีมา คำพิพากษาในวันนี้ก็ถือได้ว่าเป็นบทพิสูจน์ของการปฎิบัติหน้าที่ของตนซึ่งหลังจากการถูกดำเนินคดีนี้ตนก็ไม่ได้รับความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
พล.ต.ท.สมคิด กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมีกระบวนการที่นำพยานหลักฐานเท็จมากล่าวหากลั่นเเกล้ง และมีการร่วมกันนำพยานที่เป็นผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาที่หนีออกไปยังต่างประเทศมากล่าวหา โดยที่ผ่านมาตนยื่นฟ้องดำเนินคดีอาญาทั้งนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งขั้นตอนอยู่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเเละพนักงานอัยการอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งได้หยุดการพิจารณาคดีไว้เนื่องจากต้องรอผลจากคำพิพากษาในคดีนี้
เมื่อถามว่าจะฝากอะไรถึงรัฐบาลชุดนี้ในการรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับประเทศซาอุฯ หรือไม่ พล.ต.ท.สมคิด กล่าวว่าตนคงไม่สามารถฝากอะไรถึงรัฐบาลได้ เเต่ที่ผ่านมาตนได้ทำหน้าที่ในฐานะจำเลยที่พิสูจน์ความจริงในการปฎิบัติหน้าที่ให้เห็นว่าข้อกล่าวหาที่สร้างความบาดหมางระหว่างประเทศ ได้มีคำพิพากษาเป็นที่ประจักษ์ในชั้นอุทธรณ์เเล้วที่พิพากษายกฟ้องว่าตนกับพวกไม่ได้เป้นผู้กระทำผิด โดยพยานหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอที่จะกล่าวหา เเต่ที่สำคัญอยากฝากถึง สำนักงานตำรวจเเห่งชาติ ว่าการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มหนึ่งถูกกลั่นเเกล้งกล่าวหาจากการปฎิบัติหน้าที่มาโดยตลอดนั้นไม่ได้รับการช่วยเหลือจาก สตช. จึงอยากฝากเป็นข้อคิด ให้ข้าราชการตำรวจทั่วไป พึงตระหนักปฎิบัติตามหน้าที่ของตน และเเม้ว่าจะมีบททดสอบต่อการถูกกล่าวหาว่าเรากระทำความผิดก็ต้องพยายามศึกษาค้นคว้าระเบียบในการต่อสู้คดี
ผู้สื่อรายงานว่า ในการฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันนี้ ญาติของนายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี่ ไม่ได้เดินทางมาศาลแต่อย่างใด คงมีเพียง Mr.Abdalelah Mohammed A.Alsheaiby อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตซาอุฯ และเจ้าหน้าที่สถานทูตกว่า 10 คน โดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ
ขอบคุณข่าวจาก