ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันรายการประเภท ‘เรียลลิตี้’ กำลังเกิดขึ้นเหมือนดอกเห็ด จำแนกให้เลือกชมตามความชอบ แต่จะทำให้ยืนหยัดอยู่ในวงการบันเทิงไทยได้ยาวนานนั้นคงต้องอาศัยหลายปัจจัยเป็นตัวช่วย
ย้อนอดีตกลับไปต้นปี 43 ‘เกมชีวิต’ เกมโชว์เรียลลิตี้แรกของเมืองไทย โดยการผลิตของกันตนาคลอดออกสู่สายตาผ่านหน้าจอวิกหมอชิต ภายหลังดัดแปลงรูปแบบจากรายการเซอร์ไวเวอร์ของอเมริกา สร้างความแปลกใหม่ให้วงการบันเทิงไทย ตีคู่ความดังมาพร้อมกับ ‘เกมเศรษฐี’ ควิสโชว์ที่ได้รับลิขสิทธิ์จากรายการ ‘Who Wants to Be a Millionaire?’ ของอังกฤษที่แพร่ภาพทางวิกพระรามสี่ในช่วงเดียวกัน
แต่ดูเหมือนกระแสความดังของเรียลลิตี้โชว์ขณะนั้นจะแพ้ทางควิสโชว์จากเมืองผู้ดี ด้วยประสบการณ์จากผู้ดำเนินรายการมือทองแห่งยุค ‘ไตรภพ ลิมปพัทธ์’ ผู้บริหารบริษัท บอร์น แอนด์ แอสโซซิเอชั่น จำกัด กับวลีเด็ดที่ติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง...เกมที่ทำให้คุณเป็นเศรษฐีได้ใน 16 คำถาม...ด้วยความดังของเกมเศรษฐีทำให้เกิดควิสโชว์ในรูปแบบเดียวกันมากมาย หากแต่ไม่สามารถต้านทานกระแสคลั่งไคล้ของผู้ชมที่ยังยึดติดภาพเกมเศรษฐีได้ ส่งผลให้หลายรายการต้องเก็บเทปขึ้นชั้นกันเป็นแถว
กระทั่งปี 46 เมื่อ ‘คุณหนูบอย’ ถกลเกียรติ วีรวรรณ บิ๊กบอสเอ็กแซ็กท์ใจกล้ากระโดดจากงานละครขึ้นมาจับรายการเรียลลิตี้อย่างเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ผ่านทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี จนเกิดกระแสเรียลลิตี้ฟีเวอร์ต่อมาปี 47 ทรูวิชั่นส์ซื้อลิขสิทธิ์เรียลลิตี้จากรายการ La Academia ของเม็กซิโก มาผลิตรายการทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย โดยถ่ายทอดสดชีวิตผู้เข้าแข่งขันประกวดร้องเพลงตลอด 24 ชั่วโมง ยิ่งสร้างปรากฏการณ์ฟีเวอร์ให้วงการเรียลลิตี้เมืองไทย ถึงขนาดมียอดแฟนคลับศิลปินมากมาย ทำให้เกมเศรษฐีที่เคยโด่งดังในอดีตแทบไม่มีที่ยืน และสุดท้ายต้องปิดตัวลงด้วยเหตุผลนานัปการ หนึ่งในนั้นคือการถึงจุดอิ่มตัว
ขณะที่เรียลลิตี้โชว์กลับโดนจีบจากฟรีทีวีหลายช่องให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของผังรายการช่วงไพรม์ไทม์ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา อาทิ บิ๊ก บราเธอร์, เอ็มไทยแลนด์, ซีซ่า ทางสายฝันสู่ดวงดาว, ล้านฝันสนั่นโลก หรือไทยแลนด์ ก๊อตทาเลนท์ ทำให้มีกลุ่มผู้ชมติดกันงอมแงม ยอมแม้กระทั่งทุ่มเงินมหาศาลไปกับการโหวตคะแนนให้กับผู้แข่งขันที่ตนเองชื่นชอบผ่านระบบเครือข่ายมือถือหลากหลายค่าย จนเม็ดเงินสะพัดหลายล้านบาท นี่ยังไม่นับรวมหลังจบเกมแข่งขันที่จะต่อยอดผลผลิตได้อีก
อย่างไรก็ตาม เรียลลิตี้โชว์หลายรายการต้องยุติลงเมื่อไม่สามารถดึงกลุ่มผู้ชมได้ มีเพียงมิวสิกเรียลลิตี้เท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดชิงพื้นที่ตลาดบันเทิงไทย แม้จะมีกระแสชื่นชอบลดลงบ้างก็ไม่ยีหระ จึงมีคำถามตามมาว่า “อะไรที่ชี้ชะตาการอยู่รอดของเกมเรียลลีตี้และหากต้องยุติจะก้าวลงจากหลังเสืออย่างไรไม่ให้เจ็บตัวเหมือนควิสโชว์ในอดีต”
คนหน้าม่านชี้คอนเซ็ปต์ตอบโจทย์พา ‘เรียลลิตี้’ อยู่รอด
‘ดีเจพี่ฉอด’ สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการบริหาร (สายธุรกิจสื่อ) บ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด และยังเป็นดีเจที่มีชื่อเสียงคร่ำหวอดในวงการสื่อสารมวลชนกว่า 20 ปี เปิดเผยมุมมองผ่านทวิตเตอร์ @DjPChod ว่า รายการเรียลลิตี้โชว์ที่มีชื่อเสียงและจัดต่อเนื่องหลายปีของไทยนั้นเกิดจากรูปแบบรายการที่ตอบโจทย์ความอยากรู้อยากเห็นของกลุ่มผู้ชม จะเห็นว่าหากรายการใดสามารถดึงให้ผู้ชมเข้าเป็นส่วนหนึ่งในการรับรู้การใช้ชีวิตของบุคคลอื่นที่ชื่นชอบ โดยเฉพาะในบางรายการที่สามารถเพิ่มความรู้สึกผูกพันให้เกิดขึ้นได้ จะทำให้ความอยากรู้เพิ่มขึ้นมาก เมื่อเป็นเช่นนี้เรตติ้งความนิยมและผู้สนับสนุนรายการเชิงธุรกิจจึงหลั่งใหลตามมา
ช่างแลดูจะสอดคล้องกับผลการวิจัยด้านจิตวิทยาสื่อสารมวลชน ‘Why People Watch Reality TV’ ปี 2004 (http://onopen.com/node/3644) ชิ้นหนึ่งที่ระบุว่า คนชมรายการเรียลลิตี้มาก เพราะมีเรื่องราวของผู้แสดงในรายการตรงกับสภาพชีวิตจริง ซึ่งความอยากรู้อยากเห็นอาจไม่ใช่แรงจูงใจสำคัญของเรียลลิตี้ทีวีทั้งหมดเท่ากับเรื่องความธรรมดาของผู้แสดงในรายการ นอกจากนี้ยังเกี่ยวพันกับความบันเทิงที่แฝงมากับการแข่งขันและการลงโทษที่ทำให้ผู้ชมอยากติดตามด้วย
จึงกล่าวได้ว่าหากวางรูปแบบรายการดีตั้งแต่เริ่มสตาร์ท ตำนานของความยืนยงคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
เผยเรียลลิตี้ไทยจัดฉากหลอกคนดู
โปรดิวเซอร์มือฉมังประจำรายการเที่ยวละไมไทยแลนด์เวิลด์ทางช่อง 3 อย่าง ‘วิทย์’ วิทยา ภิญโญวิศาล เห็นว่า ส่วนใหญ่รายการเรียลลิตี้ของไทยมักจัดฉากเสมือนจริง เขียนบทผู้ร่วมแสดง เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้ชมให้หลงเชื่อและคล้อยตามอารมณ์การถ่ายทอดของผู้ร่วมรายการและเอาใจสปอนเซอร์ ซึ่งแตกต่างจากต่างประเทศที่มักถ่ายทอดการใช้ชิวิตของผู้ร่วมรายการแบบไม่มีบทคอยกำกับ อันแสดงถึงความจริงใจของผู้ผลิตต่อกลุ่มผู้ชม มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เขียนบทชี้นำในรายการ แต่คงไม่เท่าไทยที่มีมากเป็นพิเศษ
“ทรู อะคาเดมีแฟนเทเซีย เรียกว่าเป็นเรียลลิตี้แท้จริง แต่ปัจจุบันกระแสความคลั่งไคล้ในรายการอาจลดน้อยลงไปตามกาลเวลา ตราบใดที่ยังไม่พัฒนารูปแบบให้ตอบโจทย์คนชมตามสถานการณ์ปัจจุบัน”
วิทย์ยังมองความต้องการของกลุ่มผู้ชมในปัจจุบันว่า ส่วนใหญ่จะเริ่มเบนเข็มความสนใจจากอดีตที่ให้ความสำคัญกับการชมเรียลลิตี้ประเภทใช้คะแนนโหวตในการตัดสิน เปลี่ยนเป็นการชมรายการเรียลลิตี้ประเภทไม่เสียเงินมากขึ้น เช่น รายการคนอวดผี ช่วงล่า ท้า ผี และฉันค้างคืนกับซุปตาร์ โดยไม่เสียอรรถรสในการชมมากมายนัก
อย่างไรก็ตามยืนยันว่าเรียลลิตี้ไม่มีวันหายไปจากจอแก้ว เพราะตราบใดคนไทยยังให้ความสนใจกับรายการที่ตอบโจทย์ความอยากรู้อยากเห็นและผู้ผลิตยังพัฒนารูปแบบรายการให้เข้าทันสถานการณ์ปัจจุบันเสมอ เช่นเดียวกับรายการควิสโชว์อย่างเกมเศรษฐีที่เคยโด่งดังในอดีต แม้จะปิดม่านมาหลายปี แต่สังคมไทยยังคงเปิดรับรายการควิสโชว์ให้โลดแล่นอีกมากมาย ซึ่งบอกไม่ได้ว่าหากเรียลลิตี้หายไปจากสังคมไทยจริง ๆ รายการประเภทใดจะมาแทน
สุดท้ายโปรดิวเซอร์คู่บารมีม.ล.สราลี กิติยากรผู้นี้ให้แนวคิดอนาคตรายการจอแก้วไทยว่า ควรเปิดพื้นที่รองรับรายการเรียลลิตี้ที่สร้างสรรค์ไว้ในช่วงไพรม์ไทม์มากขึ้น เช่น ช่อง 9 ที่ซื้อลิขสิทธิ์รายการเกมซ่า ท้ากึ้น นับว่าเป็นการดึงให้คนชมได้มีส่วนร่วมในการแสดงความสามารถ
“หากรายการไม่ดีจริงอยู่ช่วงไพรม์ไทม์ไม่ได้ เพราะลูกค้าไม่ซื้อ ขายโฆษณายาก ทำไปหากไม่เข้าตาจริง ๆ ก็เจ็บตัว ทำให้รายการเรียลลิตี้ทุนหนาสามารถซื้อเวลาอยู่ช่วงดังกล่าวได้ เพราะต้องการเจาะกลุ่มผู้ชมและมักประสบความสำเร็จอย่างงดงาม”
เกมแห่งการช่วงชิงพื้นที่จอแก้วสำหรับ ‘เรียลลิตี้’ คงไม่มีบทสรุปว่าใครดัง-ดับ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน ทุน-คนชม-รูปแบบที่ตอบโจทย์ ฉะนั้นความสำเร็จคงขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้ผลิตเป็นสำคัญ แต่ที่แน่ ๆ ‘เรียลลิตี้’ คงไม่ตายไปจากสังคมไทยตราบใดที่ทุกคนยังปรารถนา.