หลังการประกาศผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร อย่างไม่เป็นทางการ เมื่อเวลา 20.09 น. วันที่ 3 มีนาคม 2556
พร้อมกับคะแนนเสียง ของ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 16 จากพรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 1,256,231 คะแนน ที่เอาชนะ พลตำรวจเอก พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 9 จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้คะแนนเสียง 1,077,899 คะแนน ไปแบบชนิดหายใจรดต้นคอ
แต่ก็เพียงพอสำหรับการก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. สมัยที่ 2
ปฏิกิริยาควันหลง ของคนในโลกออนไลน์ที่แสดงออกต่อผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ที่ออกมาในครั้งนี้ ดูเหมือนจะให้ความสำคัญและโฟกัสไปที่เรื่องของผลการสำรวจความเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ของสำนักโพลหลายแห่งที่ออกมาเป็นอย่างมาก
เพราะผลสำรวจความเห็นการเลือกตั้ง ของโพลชั้นนำหลายสำนัก กลายเป็นข้อมูลที่ตรงข้ามกับความเป็นจริง?
ทั้งนี้ ในช่วงหลังปิดหีบการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 3 มีนาคม 2556 ที่ผ่านมา
โพลหลายสำนัก ได้ทยอยเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ออกมา
โดยผลการสำรวจของโพลหลายแห่ง ชี้ไปยังข้อมูลเดียวกัน คือ พล.ต.อ.พงศพัศ จะมีชนะเหนือ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้
อาทิ
“สวนดุสิตโพล” ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ซึ่งสำรวจความคิดเห็น ตัวอย่าง 7,080 คน ระยะเวลาในการสำรวจระหว่างวันที่ 1-3 มี.ค. (ก่อนเข้าคูหาเลือกตั้ง)พบคะแนนนิยมของผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. นั้น ปรากฏว่า อันดับ 1 เป็น พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่ 49.01% ตามมาด้วย ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร 39.65% ส่วนจำนวนคะแนนของผู้สมัครที่คาดว่าจะได้ (จำแนกตามจำนวนผู้มาใช้สิทธิ) อันดับ 1 พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ อันดับ 2 ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ชนะกันกว่า 1 แสนคะแนน
ขณะที่ สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ชัดว่า พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จากพรรคเพื่อไทย จะชนะการเลือกตั้ง อยู่ระหว่างร้อยละ 40.9 ถึง ร้อยละ 50.9 และเมื่อประมาณการทางสถิติพบว่า ถ้าประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งร้อยละ 66.4 ตามผลสำรวจนี้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยจะได้เกินกว่าหนึ่งล้านคะแนน คืออยู่ในช่วง 1,176,781–1,464,503 คะแนน
ในขณะที่ ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 34.1 ระบุจะเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร และเมื่อบวกลบค่าความคลาดเคลื่อนร้อยละ 5 ดังนั้นจึงพบว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร จะได้ร้อยละ 29.1 ถึงร้อยละ 39.1 และเมื่อประมาณการทางสถิติพบว่า ถ้าประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งร้อยละ 66.4 ตามผลสำรวจนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์จะได้คะแนนอยู่ในช่วง 837,270 - 1,124,992 คะแนน แต่ถ้าประชาชนไม่ไปใช้สิทธิตามผลสำรวจที่ค้นพบในวันเลือกตั้งจริง ค่าคะแนนประมาณการที่ค้นพบครั้งนี้ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป
ขณะที่ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 7 ได้เปิดเผยเจ็ดสีโพลล์ ที่ระบุว่า พล.ต.อ.พงศพัศ ได้ 46.23% ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ได้ 38.84%
จะมีเพียงผลการสำรวจของศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่ออกมายืนยันว่า ชาวกทม. จะเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าฯ กทม.
โดย นิด้าโพล ระบุว่า ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ทำนายผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. 2556” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 26 – 28 ก.พ. และ 1 มี.ค. จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ทั้ง 50 เขต 2,517 หน่วยตัวอย่าง กระจายทุกระดับการศึกษา ทุกอาชีพ โดยมีความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน ไม่เกิน ร้อยละ 3.7
จากการสำรวจ เมื่อถามว่า “หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง ท่านจะเลือกใครเป็นผู้ว่า กทม.” พบว่า คนกรุงเทพฯ ที่ตั้งใจจะไปใช้สิทธิและตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกใคร ร้อยละ 43.16 ระบุว่า จะเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าฯ กทม. รองลงมา ร้อยละ 41.45 จะเลือก พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ร้อยละ 8.72 จะเลือก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวศ ร้อยละ 2.92 จะเลือก นายสุหฤท สยามวาลา ร้อยละ 1.21 จะเลือก นายโฆษิต สุวินิจจิต ร้อยละ 0.32 จะเลือก ผู้สมัครอิสระ อื่นๆ เช่น นายณัฐดนัย ภูเบศร์อรรถวิช นายสมิตร สมิทธินันท์ นายจำรัส อินทุมาร และมีเพียงร้อยละ 2.23 ที่ระบุว่าไม่ลงคะแนนเสียง ไม่เลือกใคร
ทั้งนี้ หลังผลโพลที่ออกมา เกิดความคาดเคลื่อนดังกล่าว ผู้รับผิดชอบสำนักโพลหลายแห่ง ได้ออกมาแสดงความเห็นไว้อย่างน่าสนใจดังนี้
รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ ประธานสวนดุสิตโพล ให้สัมภาษณ์ มติชนทีวีถึงกรณีผลโพลคลาดเคลื่อนว่า ครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญของทุกสำนักโพล การรวบรวมกลุ่มตัวอย่าง หรือที่ฟันธงว่าคนกทม.หลอกโพลต่างๆ ทั้งหมดเป็นข้อแก้ตัว แต่ความจริงสำนักโพลต่างๆต้องมาพูดคุยและดูว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร
“อย่าไปมองว่าเป็นแค่โกงหรือทุจริต อย่าโทษคนอื่น คนทำโพลต้องโทษตัวเองเพื่อดูว่าครั้งต่อไปจะทำอย่างไร”
ส่วน ดร.นพดล กรรณิกา"ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า “เราไม่ได้ทำเอ็กซิทโพล เราทำโพลก่อนการเลือกตั้งช่วงสัปดาห์สุดท้าย สำรวจ 5,000 ตัวอย่างจากคน 4 ล้านกว่าคน คิดเป็นร้อยละ 0.001 เป็นธรรมดาที่จะคลาดเคลื่อนได้ และในความเป็นจริงไม่ได้ทำใกล้วันเลือกตั้ง ทำในสัปดาห์สุดท้ายไม่ใช่วันเลือกตั้ง ยังมีกลุ่มคนที่อาจเปลี่ยนใจได้ซึ่งกลุ่มเปลี่ยนใจได้ในโค้งสุดท้ายสามารถทำ ให้พลิกได้ ถ้าทุกคนได้อ่านผลสำรวจอย่างต่อเนื่องจะเข้าใจการทำงานของนักทำโพลได้ ซึ่งความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นได้ทุกขั้นตอน
นายสิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่าการทำเอ็กซิทโพลล์ในครั้งนี้ใช้อาสาสมัครจำนวน 500 คนกระจายไปยังเขตทั้งหมด 50 เขต โดยแบ่งอาสาสมัครลงในแต่ละเขต เขตละ 10 คน
โดยมีการกระจายไปยังหน่วยเลือกตั้งในเขตนั้นๆ การกระจายกลุ่มตัวอย่างในครั้งนี้มีใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เพื่อให้ได้ตัวแทนที่ดีของประชากร ในการเก็บข้อมูลในหน่วยเลือกตั้งทั้ง 50 เขต และมีการกระจายในการเก็บข้อมูลทุกแขวงในแต่ละเขต ซึ่งอาสาสมัคร 1 คนจะเก็บข้อมูลจากผู้ที่ใช้สิทธิในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจำนวน 40 คน ทำให้ใน 1 เขตจะได้ข้อมูลจำนวน 400 ตัวอย่าง เมื่อรวมทั้ง 50 เขตจะได้ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 20,000 ตัวอย่าง ประมาณ 0.5% ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยรวมทั้ง 50 เขตจะได้กลุ่มตัวอย่าง 20,000 ตัวอย่าง โดยอ้างอิงตาราง Taro Yamane โดยกำหนดความเชื่อมั่น 99 % และความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 2 %
"ปัจจัยหลักที่ทำให้ผลการทำ EXIT POLL คลาดเคลื่อนสูงมาจากช่วงเวลาในการเก็บข้อมูลที่ไม่สามารถเก็บข้อมูลได้ถึงเวลาใกล้ปิดหีบ เพราะในครั้งนี้เก็บข้อมูลตั้งแต่เวลา 08.00 – 13.30 น. และในช่วงเวลา 13.30 – 15.30 ไม่สามารถเก็บข้อมูลได้ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวกลับเป็นช่วงเวลาที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นจำนวนมาก ทำให้ผลมีความคลาดเคลื่อนสูง"
แม้ผู้รับผิดชอบสำนักโพลชื่อดังแต่ละแห่ง จะออกมายืนยันว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ในการสำรวจความเห็นเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ จะมาจากความผิดพลาดทางเทคนิคเป็นหลัก
แต่ความเห็นของคนในโลกออนไลน์ ที่แสดงออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ กับมุ่งประเด็นไปที่เรื่อง ความไม่ไว้วางใจของประชาชน ที่มีต่อการสำรวจความเห็นของ โพลบางสำนัก ที่ถูกมองว่า เป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองบางกลุ่ม ที่ใช้ในการสร้างกระแส เรื่องใดเรื่องหนึ่งในสังคม เพื่อหวังประโยชน์ต่างตอบแทน
จึงทำให้ไม่มีใครอยากให้ความร่วมมือ ให้ข้อมูลที่แท้จริง? และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลการสำรวจความเห็น คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ?
จากการตรวจสอบเว็บไซด์ www.pantip com พบว่า มีการตั้งหัวข้อแสดงความเห็นเกี่ยวกับผลโพลเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ไว้อย่างเป็นทางการ ว่า “งานนี้ผลโพลจะเป็นตัวชึ้ วัดประสิทธิภาพทางวิชาการของสถาบันหรือเปล่า?
โดยผู้ตั้งกระทู้ เสนอความเห็นให้มีการควบคุม การทำและเผยแพร่ผลโพลกันเลยทีเดียว ซึ่งมีคนในโลกออนไลน์จำนวนมากได้เข้าไปแสดงความเห็น ที่หลากหลาย
อาทิ
“โพลที่ใกล้เคียงกัน ผมว่าโอเคนะครับ เพราะอาจเบี่ยงเบนได้บ้างในทางสถิติ แต่โพลที่นำห่างเยอะๆ แล้วแพ้นี่ ก็น่าคิดนะครับ อาจไม่ได้มีการสำรวจจริง?
“เคยคุยกับผู้จัดทำนิด้าโพลครั้งหนึ่ง เขาบอกว่า ของเขาออกไม่เยอะ เพราะเน้นระเบียบวิธีการวิจัยที่ถูกต้อง”
“คนหลอกโพล===>โพลหลอกคน”
“โพลรับจ้าง ไร้ค่าสำหรับทั่วไป มีค่ากับคนจ่ายเงิน”
ขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ให้ความเห็นกับสื่อมวลชน หลังการเลือกตั้ง เกี่ยวกับผลโพลไว้อย่างน่าสนใจ ว่า “ผมลงสมัครรับเลือกตั้ง และเป็น ผอ.เลือกตั้งหลายครั้งแล้ว ยังไม่เห็นว่าเอ็กซิตโพลล์ครั้งไหนแม่นยำเลยซักครั้ง”
“เพราะวัฒนธรรมไทยจะต่างกับของสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษ คนไทยชอบใครมักจะไม่พูด ดังนั้นเขารักใครชอบใครจะไม่พูด”
ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่น่าสนใจ ว่า “อยากให้โพลล์แต่ละสำนัก กลับไปพิจารณาว่า ในเมื่อคนไทยรักใครชอบใครจะไม่พูด สมควรหรือไม่ที่จะทำเอ็กซิตโพลล์ต่อไป และหากมีใครรู้ผลก่อน แม้จะไม่กี่คน จะเป็นการชี้นำหรือไม่”
“ที่สำคัญการให้คนนอกไปเดินป้วนเปี้ยนในเขตเลือกตั้ง อาจจะไม่ถูกต้อง เพราะคนที่ไปเดินอาจจะไม่ใช่คนทำโพล แต่เป็นหัวคะแนนกับผู้สมัคร”
"คราวนี้มันผ่านไปแล้ว แต่ขอให้ปรับปรุงคราวหน้า” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่า กทมฯ สมัยที่ 2 ระบุทิ้งท้ายไว้ อย่างน่าสนใจ
การทำงานของ สำนักโพลชื่อดังต่างๆ นับจากนี้ต่อไป จึงดูเหมือนจะ “ยาก”และ “ท้าทาย” เป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะ "การสร้างมาตรฐาน" และ "ความน่าเชื่อถือ" ให้กลับคืนมา (เหมือนเดิม) อีกครั้ง !!