- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- ล้วงลึกเหตุผลป.ป.ช. ไฉน!“ครม.ยิ่งลักษณ์”ออกกม.คุมม็อบถึงขัดรธน.
ล้วงลึกเหตุผลป.ป.ช. ไฉน!“ครม.ยิ่งลักษณ์”ออกกม.คุมม็อบถึงขัดรธน.
“…การจัดเวทีปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลานั้น เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เป็นการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และวิพากษ์วิจารณ์ความบกพร่องของรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน…”
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org : เป็นมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวม 12 คน กรณีออกประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ฉบับลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 ฉบับลงวันที่ 9 ตุลาคม 2556 และฉบับลงวันที่ 18 ตุลาคม 2556 โดยไม่ชอบ และขัดต่อรัฐธรรมนูญ
----
มติการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2556 ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีความผิดตามข้อกล่าวหา มีผู้ถูกกล่าวหา 12 ราย ดังนี้
1.น.ส.ยิ่งลักษณ์ 2.นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกรัฐมนตรี รมว.เกษตรและสหกรณ์ 3.นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกฯ 4.พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกฯ 5.นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกฯ และรมว.ศึกษาธิการ 6.นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย 7.พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม 8.นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 9.นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา 10.นายชัยเกษม นิติศิริ รมว.ยุติธรรม 11.นายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม และ 12.นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.อุตสาหกรรม
ความอาญา
กรณีกล่าวหาคณะรัฐมนตรี กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 66 และกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 63
ข้อกล่าวหา
ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1-7 และผู้ถูกกล่าวหาที่ 11 ดำเนินการออกประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ฉบับลงวันที่ 18 ตุลาคม 2556 โดยไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 และขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 63
ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3-10 และผู้ถูกกล่าวหาที่ 12 ดำเนินการออกประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ฉบับลงวันที่ 9 ตุลาคม 2556 โดยไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 และขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 63
ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3-11 ดำเนินการออกประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ฉบับลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 โดยไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ และขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 63
พฤติการณ์ในการกระทำความผิด
1.คณะรัฐมนตรีได้ออกประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นภายในราชอาณาจักร ฉบับลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 ในพื้นที่ 3 เขต โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ ซึ่งเป็นการดำเนินการโดยมิชอบ ดังนี้
1.1 ประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ฉบับลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 ได้อ้างเหตุในการออกประกาศว่า อาจจะเกิดการชุมนุมเกิดขึ้น และกลุ่มผู้ชุมนุมอาจจะมีการขัดขวางการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในวาระที่หนึ่ง ซึ่งเป็นการพิจารณากฎหมายตามปกติของสภาผู้แทนราษฎร จึงยังไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จะออกประกาศฉบับดังกล่าว เนื่องจากยังไม่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรแต่อย่างใด และยังไม่มีเหตุการณ์ที่มีแนวโน้มที่จะมีอยู่ต่อไปเป็นเวลานาน
1.2 เหตุผลท้าย พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ มีเจตนารมณ์ให้บังคับใช้ในกรณีลักษณะคล้ายกับเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ปรากฏเหตุการณ์ร้ายแรง อาจกระทบต่อเอกราชและบูรณภาพแห่งอาณาเขต แต่ประกาศฯ ฉบับดังกล่าวได้ประกาศในพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร โดยอ้างแต่เพียงจะมีการชุมนุมขัดขวางการพิจารณากฎหมายของสภาผู้แทนฯ จึงเห็นว่าไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ. ดังกล่าว
1.3 การชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมที่เป็นเหตุแห่งการอ้างเพื่อไปประกาศตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ นั้น ได้มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 24/2555 เรื่อง พิจารณาที่ 26/2554 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2555 วินิจฉัยว่า ผู้ชุมนุมดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุม ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 63 ดังนั้น การออกประกาศที่ขัดขวางประชาชนในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในกรณีนี้จึงไม่อยู่ในเหตุยกเว้นตามรัรฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 63 วรรคสอง ประกาศดังกล่าวจึงขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
1.4 การดำเนินการตามประกาศฯ ได้มีการประมาณการงบประมาณไว้ 235,907,181 บาท โดยจะใช้กำลังพลทั้งสิ้น 39,008 นาย จำนวน 224 กองร้อย ทั้งนี้ ตามระยะเวลาที่ประกาศฯ จำนวน 10 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 – 10 สิงหาคม 2556 แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้น ได้มีการใช้ค่าใช้จ่ายจริงที่ใช้ในการดำเนินงานตามประกาศฯ เป็นจำนวนทั้งสิ้น 175 ล้านบาท และใช้กำลังพลของเจ้าหน้าที่ไป 59 กองร้อย ซึ่งเป็นการใช้งบประมาณมาดำเนินการตามประกาศที่อาจจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณถึง 175 ล้านบาท
2.คณะรัฐมนตรีได้ออกประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ลงวันที่ 9 ตุลาคม 2556 และประกาศฉบับลงวันที่ 18 ตุลาคม 2556 โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 15 พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ ซึ่งดำเนินการโดยมิชอบ ดังนี้
2.1 ไม่มีเหตุตามกฎหมายที่ ครม. จะออกประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ลงวันที่ 9 ตุลาคม 2556 เนื่องจากการจัดเวทีปราศรัยวิพากษ์วิจารณืการทำงานของรัฐบาล โดยกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลานั้น เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เป็นการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และวิพากษ์วิจารณ์ความบกพร่องของรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยการชุมนุมและการจัดเวทีปราศรัยได้มีการปิดกั้นและกีดขวางใช้เส้นทางคมนาคมและการใช้ยานพาหนะของประชาชนโดยทั่วไป มิได้มีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ประกอบธุรกิจบริเวณใกล้เคียงการชุมนุม
ทั้งนี้มิได้ปรากฏเหตุการณ์ที่ร้ายแรง หรือมีการใช้กำลังอาวุธ หรือการข่มขู่คุกคามผู้อื่น และมิได้มีการปลุกระดม เชิญชวนที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่ประชาชน และมีการกระทำที่ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และมิได้มีการกระทำใด ๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่เดือดร้อนเสียหาย ไม่มีการใช้กำลังหรืออาวุธเพื่อต่อสู้หรือขัดขืนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และไม่ปรากฏว่ามีผู้ชุมนุมรายใดได้บุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล และขัดขวางการปฏิบัติงานของหน่วยราชการซึ่งตั้งอยู่โดยรอบพื้นที่ชุมนุม ทั้งกลุ่มผู้ชุมนุมก็มิได้มีความมุ่งหมายใด ๆ ที่จะขัดขวางการเดินทางมาเยือนประเทศไทยของนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และการจัดพิธีต้อนรับที่ทำเนียบรัฐบาล
โดยปรากฏว่าในวันที่ 10 ตุลาคม 2556 เมื่อคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาขอเจรจากับแกนนำของกลุ่มผู้ชุมนุมขอให้ยุติการชุมนุมบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลสามารถจัดพิธีต้อนรับนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนได้อย่างสมเกียรติ กลุ่มผู้ชุมนุมก็ยินยอมเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่บริเวณดังกล่าว
ฉะนั้น การชุมนุมและการจัดเวทีปราศรัยที่เกิดขึ้นจึงเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมภายในขอบเขตและตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 63ไม่มีเหตุตามกฎหมายที่ ครม. จะออกประกาศดังกล่าว
และกรณีออกประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ฉบับลงวันที่ 18 ตุลาคม 2556 โดยอ้างว่า สถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองและการชุมนุมเพื่อเรียกร้องความต้องการตามแนวทางและผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม มีความพยายามดำรงความต่อเนื่องให้เกิดความยืดเยื้อในการชุมนุมเพื่อให้เกิดบรรลุวัตถุประสงค์และผลประโยชน์ของกลุ่มโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำดังกล่าว
และปรากฏข้อเท็จจริงความเชื่อมโยงกับกลุ่มบุคคลที่มีความมุ่งหวังจะขัดขวางการใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล หรือการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรนิติบัญญัติอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งอาจมีผู้ไม่หวังดีเตรียมการก่อเหตุระหว่างการชุมนุมเพื่อหวังให้เกิดสถานการณ์ความรุนแรงยิ่งขึ้นนั้น ก็ไม่ปรากฏเหตุตามกฎหมายที่ออกประกาศดังกล่าวไว้เช่นกัน
2.2 เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2556 พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ได้เรียกประชุม ครม.นัดพิเศษ (ชุดเล็ก) ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อพิจารณาประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ ดูแลสถานการณ์การชุมนุมด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล และ ครม.ชุดเล็กดังกล่าว ได้มีมติให้การประกาศพื้นที่การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ ตั้งแต่วันที่ 9 – 18 ตุลาคม 2556 ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เสนอ
เห็นว่า การประชุม ครม.ชุดเล็ก และมีมติให้ออกประกาศดังกล่าว ไม่ถือว่าเป็นการออกประกาศโดยชอบด้วยมาตรา 15 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ เพราะมิได้เกิดจากการประชุม แลมีมติของ ครม.ทั้งหมด การออกประกาศฉบับดังกล่าวจึงเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
2.3 การออกประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ฉบับลงวันที่ 9 ตุลาคม 2556 และฉบับลงวันที่ 18 ตุลาคม 2556 ขัดต่อเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้ มุ่งหมายให้ใช้กับกรณีที่เกิดปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคง หรือภยันตรายที่อาจกระทบต่อเอกราชหรือบูรณภาพแห่งอาณาเขต ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในประเทศ และเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชน ในลักษณะคล้ายกับเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้มุ่งหมายให้นำมาใช้กับการชุมนุม หรือการแสดงออกทางการเมืองที่เป็นไปเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน
ดังนั้น การที่ ครม. ออกประกาศเพื่อใช้บังคับกลุ่มผู้ชุมนุมกรณีดังกล่าว จึงเป็นการใช้อำนาจหรือดุลยพินิจที่เป็นการบิดเบือนและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายอันเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ เกินกว่าความจำเป็น และความสมควรแก่กรณี และเกินกว่าขอบเขตที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 29
2.4 การออกประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ฉบับลงวันที่ 9 ตุลาคม 2556 และฉบับลงวันที่ 18 ตุลาคม 2556 ไม่เข้าข้อยกเว้นตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 63 วรรคสอง ซึ่งการออกประกาศที่ขัดขวางประชาชนในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ ไม่อยู่ในเหตุยกเว้นตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 63 วรรคสอง จึงเป็นประกาศที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550
ฐานความผิด
กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ตามมาตรา 66 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 45 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว จึงให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว
อ่านประกอบ :
ป.ป.ช.ซุ่มเงียบสอบ ครม.ปูประกาศพื้นที่มั่นคงฯ 3 เขตรัฐเสียหาย 175 ล.
ป.ป.ช.ตั้งอนุฯลุยสอบ“ปู-11 รมต.”ประกาศพื้นที่มั่นคงคุมม็อบขัดรธน.
หมายเหตุ : ภาพประกอบ ม็อบ กปปส. จาก bangkokbiznews