เปิดเบื้องหลังเรียกคืนเครื่องราชฯอดีต ขรก.กระทรวงท่องเที่ยวพร้อมกันทีเดียว 8 ราย ถูก ป.ป.ช.เชือดคดีทุจริตสร้างสนามกีฬา-อาคารมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท จนถูกไล่ออกจากราชการ
กรณีที่มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม2555 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งข้าราชการสังกัดกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจำนวน 8 ราย เนื่องจาก ถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ อันเป็นเหตุแห่งการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามระเบียบ สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548 ประกอบด้วย
1.นายสมศักดิ์ อยู่คง เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก ประถมาภรณ์มงกุฎไทย ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย ตริตาภรณ์ช้างเผือก ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย และเหรียญจักรพรรดิมาลา
2.นายพีชเรข พิริยหะพันธุ์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทย ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย ตริตาภรณ์ช้างเผือก ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก และเหรียญจักรพรรดิมาลา
3.นายวิทยา วงษ์สมาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย ตริตาภรณ์ช้างเผือก ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย และเหรียญจักรพรรดิมาลา
4.นายสมเกียรติ ตงศิริ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก ตริตาภรณ์มงกุฎไทย และจัตุรถาภรณ์ช้างเผือก
5.นายพีระพงศ์ สุวรรณราช เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย ตริตาภรณ์ ช้างเผือก ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก และเหรียญจักรพรรดิมาลา
6.นายประพัน ไพรอังกูร เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก และจัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย
7.นายสมพงษ์ ผาสุข เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก และจัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย
8.นายปกรณ์ ปั้นจั่น เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก และจัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย นั้น
จากการตรวจสอบพบว่า เหตุที่ข้าราชการเหล่านี้ถูกไล่ออกและเรียกคืนเครื่องราชฯเนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)เมื่อวันที่ 6 พ.ย.2550 ได้ชี้มูลความผิดนายสุวรรณ กู้สุจริต อดีต ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ 2 สมัย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมพลศึกษาและกรรมการตรวจการจ้างอีก 9 คนว่า มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ในโครงการก่อสร้างสนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติฯ (คลอง 6)และ โครงการก่อสร้างอาคารเรียนและอาคารอเนกประสงค์รวมเกือบ 2,000 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
โครงการแรกคือสนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติฯ (คลอง 6)ที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติว่าการกระทำของนายสุวรรณและกรรมการตรวจการจ้างอีก 9 คน มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของราชการ มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
การกระทำดังกล่าวยังถือเป็นความความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสาร หรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ และรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงของเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 และมาตรา 162 (1) และ (4) ประกอบมาตรา 86
'สำหรับผู้จ้างหมวดงานที่ 4 อาคารบริการกลาง ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนฟังได้ว่า ได้ร่วมกระทำความผิดกับคณะกรรมการตรวจจ้างด้วย จึงเป็นความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151, 157 และมาตรา 162 (1) และ (4) ประกอบมาตรา 86 'นายกล้านรงค์กล่าว
สำหรับข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวจากไต่สวนได้ข้อสรุปว่า เมื่อปีงบประมาณ 2541 กรมพลศึกษาได้จัดจ้างก่อสร้างและปรับปรุงสนามกีฬาสำหรับการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 และเฟสปิคเกมส์ ครั้งที่ 7 ที่สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติฯ (คลอง 6) โดยแบ่งเป็น 4 หมวดงานรวมกว่า 378 ล้านบาท คือ 1.สนามแข่งขันฮอคกี้ วงเงินค่าจ้าง 104,997,300 บาท โดยแบ่งจ่ายเป็น 8 งวด 2.สนามเบสบอล วงเงินค่าจ้าง 99,500,000 บาท แบ่งจ่ายเป็น 8 งวด 3.สนามลู่วิ่งมาตรฐาน และลานกีฬา สนามแข่งขัน วงเงินค่าจ้าง 76,750,000 บาท แบ่งจ่ายเป็น 8 งวด และ 4.อาคารบริการกลาง วงเงินค่าจ้าง 97,187,446.25 บาท แบ่งจ่ายเป็น 8 งวด
จากนั้นกรมพลศึกษาได้ทำสัญญาจ้างเอกชน 3 ราย เป็นผู้ควบคุมงาน โดยได้ตั้งนายสุวรรณเป็นประธานกรรมการตรวจจ้าง และนายสุวรรณกับพวกได้ร่วมกันตรวจการจ้างงานก่อสร้างและปรับปรุงสนามกีฬาหมวด 4 ให้กับผู้รับจ้างในงวดที่ 6, 7 และ 8 ทั้งที่ผู้รับจ้างทำการก่อสร้างไม่ถูกต้องตามสัญญาจ้าง
ต่อจากนั้นนายสุวรรณได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพลศึกษา และเป็นผู้มีอำนาจในการเบิกจ่ายค่าก่อสร้างดังกล่าว ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่า การก่อสร้างไม่ถูกต้องตามสัญญาจ้าง และได้มีการอนุมัติเงินงบประมาณ 25 ล้านบาทเศษ ทั้งที่รู้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง และไม่ชอบด้วยระเบียบของราชการ
ส่วนโครงการที่ 2 คือ ก่อสร้างอาคารเรียนและอาคารอเนกประสงค์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อปีพ.ศ.2540 กรมพลศึกษาได้ทําสัญญาวาจ้างบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เป็นผู้รับจ้างก่อสร้างโครงการดังกล่าวในวงเงิน 1,623,000,000 บาท โดย กําหนดให้ก่อสร้างภายในสนามกีฬาแห่งชาติ เขตปทุมวัน กทม.
ต่อมากรมพลศึกษาได้ย้ายสถานที่ก่อสร้างไปที่สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติฯ (คลอง 6) จึงได้แก้ไขเพิ่มเติมสัญญาจ้างพร้อมกับกําหนดงวดงานและการจ่ายเงินคาจ้างแต่ละงวดงานใหม่ และแต่งตั้งคณะ กรรมการตรวจการจ้างโดยมีนายสุวรรณ กู้สุจริต เมื่อครั้งดํารงตําแหน่งรองอธิบดีกรมพลศึกษาเป็นประธานกรรมการตรวจการจ้าง
ปรากฏว่า นายสุวรรณ กับพวก ในฐานะคณะกรรมการตรวจการจ้าง ไดรับรายงานจากผู้ควบคุมงานว่า ผู้รับจ้างได้ก่อสร้างงานงวดที่ 3 การก่อสร้างรายการกําแพงกันดินไม่ถูกต้องตามแบบรูปรายการ แต่นายสุวรรณ ไม่ได้พิจารณาสั่งให้ผู้รับจ้างหยุดงานตามที่ผู้ควบคุมงานรายงานเสนอ และมิไดทํารายงานเสนออธิบดีกรมพลศึกษาเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป
แต่กลับปล่อยให้ผู้รับจ้างทําการก่อสร้างงานงวดที่ 3ผิดแบบรูปรายการต่อไปจนแล้วเสร็จในงวดงานดังกล่าว และได้รวมกับกรรมการ ตรวจการจ้างคนอื่นตรวจการจ้าง เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2542 โดยผู้รับจ้างมิได้จัดทําหลักฐานใบส่งมอบงาน และไม่มีความเห็นของผู้ควบคุมงานเกี่ยวกับการทํางาน ของผู้รับจ้างที่ต้องทํารายงานเสนอประธานกรรมการตรวจการจ้างก่อนตรวจการจ้าง โดยนายสุวรรณ ได้จัดทํารายงานการตรวจการจ้างในใบตรวจการจ้าง และรับรอง ผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้าง เสนออธิบดีกรมพลศึกษา เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม2542 ว่างานเสร็จเรียบร้อยถูกต้องตามสัญญางวดที่ 3 ทุกประการ ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2542 และผู้รับจ้างควรได้รับเงินงวดที่ 3 เป็นเงิน 50,000,000 บาท ทั้งที่ข้อเท็จจริง ผู้รับจ้างได้ก่อสร้างงานงวดที่ 3ไม่ถูกต้องตามสัญญาจ้าง และเมื่อผู้รับจ้างก่อสร้างงานงวดที่ 4 ยังคงปล่อยให้ผู้รับจ้างก่อสร้างกําแพงกันดิน ไปโดยไม่ถูกต้องตามแบบรูปรายการเช่นเดียวกับงานงวดที่ 3 และมีการแก้ไขสัญญาจ้างโดยให้แก้ไขปรับปรุงแบบรูปและรายการในส่วนของกําแพงกันดิน
แต่นายสุวรรณ ได้ร่วมกับกรรมการ ตรวจการจ้างตรวจการจ้างงานงวดที่ 4 โดยจัดทํารายงานการตรวจการจ้างในใบตรวจการจ้างและรับรองผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้าง ลงวันที่ 15 กันยายน2542 เสนอ อธิบดีกรมพลศึกษา ว่า ได้ตรวจรับงานเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2542 แล้วปรากฏว่า งานเสร็จเรียบร้อยถูกต้องตามสัญญางวดที่ 4 ทุกประการ ผู้รับจ้างควรได้รับเงินงวดที่ 4 เป็นเงิน36,070,762 บาท ทั้งที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้รับจ้างได้ก่อสร้างงานงวดที่ 4 ไม่ถูกต้องตามสัญญาจ้าง
ต่อมานายสุวรรณ ได่รับคําสั่งแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีกรมพลศึกษาเป็นผู้มีอํานาจหน้าที่ในการอนุมัติให้เบิกจ่ายเงินค่าจ้างก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์ ทั้งที่ทราบข้อเท็จจริงอยู่แล้วว่าการก่อสร้างงานงวดที่ 3 และ 4 ไม่ถูกต้องตามสัญญาจ้างแต่กลับอนุมัติให้จ่ายเงินค่าจ้างจ้างล่วงหน้าให้กับผู้รับจ้าง เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2542 เป็นเงินจํานวน 142,824,000 บาท
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติว่า การกระทําของ นายสุวรรณ และนายสมเกียรติ ตงศิริ เมื่อครั้งดํารงตําแหน่งหัวหน้าฝ่ายออกแบบและก่อสร้าง สํานักกีฬากรมพลศึกษา ในฐานะกรรมการตรวจการจ้าง มีมูลเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และเป็นความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการ ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
สําหรับกรรมการตรวจรับงานจ้างคนอื่น ๆ และอนุกรรมการเปรียบเทียบราคาเพิ่ม-ลดการปรับปรุงกําแพงกัน ดินคนอื่น ๆ จากการไต่สวนข้อเท็จจริงพยานหลักฐานยังไม่พอฟังว่า ได้กระทําการตรวจรับงานหรือพิจารณาเปรียบเทียบราคาเพิ่ม-ลดงานโดยมีเจตนาทุจริต แต่การกระทําดังกล่าวเป็นความผิดทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความอุตสาหะ เอาใจใส่ระมัดระวังรักษาประโยชน์ของทางราชการ และฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ ฯให้ส่งรายงาน เอกสาร และความเห็น ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาโทษทางวินัย และไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดําเนินคดีอาญากับนายสุวรรณ กู้สุจริต กับพวก ตามพ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 92 และ มาตรา 97 ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2549 ให้จำคุกนายสุวรรณและพวกอีก 1 คน คนละ 2 ปี ในคดีที่บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพลนนิ่ง แอนด์ ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด ที่เป็นผู้เสนอซองประกวดราคาก่อสร้าง และเป็นที่ปรึกษาโครงการก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติดังกล่าว เป็นโจทก์ฟ้องนายสุวรรณ ประธานตรวจรับงาน, นายวิทยา วงศ์สมาน หัวหน้าผู้ประสานงานโครงการก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์ กับพวกอีก 5 คน ซึ่งเป็นกรรมการตรวจรับงาน ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในการตรวจรับงานก่อสร้าง และไม่ชำระค่าจ้างแก่โจทก์ รวมเป็นเงินกว่า 10 ล้านบาท
:: ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต