- Home
- Isranews
- ตะกร้าข่าว
- พระราชทานอภัยโทษ“ผู้ต้องโทษ”ฉลองพระชนมายุ 5 รอบสมเด็จพระเทพฯ
พระราชทานอภัยโทษ“ผู้ต้องโทษ”ฉลองพระชนมายุ 5 รอบสมเด็จพระเทพฯ
พระราชทานอภัยโทษ ผู้ต้องโทษ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 58 ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ
ราชกิจจานุเบกษา 30 มี.ค.58 เผยแพร่ พระราชกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๕๘เนื่องในโอกาสพระราชพิธีฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี นับเป็นอภิลักขิตกาลสําคัญ สมควร พระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ เพื่อให้โอกาสแก่บุคคลเหล่านั้นกลับประพฤติตนเป็นพลเมืองดี อันจะเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติสืบไปให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีสาระสำคัญดังนี้
มาตรา ๔ ผู้ซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกานี้ต้องมีตัวอยู่ใน ความควบคุมของทางราชการ หรือถูกกักขังไว้ในสถานที่หรือที่อาศัยที่ศาลหรือทางราชการกําหนดในวันที่ พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับติดต่อกันไปจนถึงวันที่ศาลออกหมายสั่งปล่อยหรือลดโทษ หรือนายกรัฐมนตรี มีคําสั่งปล่อยหรือลดโทษตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกานี้ เว้นแต่ผู้ทํางานบริการสังคมหรือทํางาน สาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ และผู้ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ
มาตรา ๕ ผู้ต้องโทษดังต่อไปนี้ ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวไป (๑) ผู้ต้องกักขัง (๒) ผู้ทํางานบริการสังคมหรือทํางานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ (๓) ผู้ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ กรณีผู้ต้องกักขังตามวรรคหนึ่ง (๑) ซึ่งเป็นนักโทษเด็ดขาด และยังไม่ได้รับโทษกักขังแทนโทษจําคุก หรือยังไม่ได้ถูกกักขังแทนค่าปรับ ให้ผู้ต้องกักขังนั้นได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวไปในส่วนของ โทษกักขังแทนโทษจําคุกหรือในส่วนของการกักขังแทนค่าปรับ แล้วแต่กรณี
มาตรา ๖ ภายใต้บังคับมาตรา ๘ มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๒ นักโทษเด็ดขาดดังต่อไปนี้ ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวไป
(๑) ผู้ต้องโทษจําคุกไม่ว่าในกรณีความผิดคดีเดียวหรือหลายคดี ซึ่งมีโทษจําคุกตามกําหนดโทษ ที่จะต้องได้รับต่อไปเหลืออยู่ไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ
(๒) ผู้มีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ (ก) เป็นคนพิการโดยตาบอดทั้งสองข้าง มือหรือเท้าด้วนทั้งสองข้างหรือเป็นบุคคลซึ่งแพทย์ ของทางราชการไม่น้อยกว่าสองคนได้ตรวจรับรองเป็นเอกฉันท์ว่าเป็นคนทุพพลภาพมีลักษณะอันเห็นได้ชัด (ข) เป็นคนเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อน โรคไตวายเรื้อรัง โรคมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (โรคเอดส์) หรือโรคจิต ซึ่งทางราชการได้ทําการรักษามาแล้วไม่น้อยกว่าสามเดือนในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ และแพทย์ของทางราชการไม่น้อยกว่าสองคนได้ตรวจรับรองเป็นเอกฉันท์ว่าไม่สามารถจะรักษาในเรือนจํา ให้หายได้ และไม่ว่าในกรณีความผิดคดีเดียวหรือหลายคดี ต้องได้รับโทษจําคุกมาแล้วถึงวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ ใช้บังคับไม่น้อยกว่าสามปี หรือไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๒ ของโทษตามกําหนดโทษ เว้นแต่เป็นคนเจ็บป่วย ด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (โรคเอดส์) ระยะสุดท้าย ซึ่งแพทย์ของทางราชการ ไม่น้อยกว่าสองคนได้ตรวจรับรองเป็นเอกฉันท์ว่าไม่สามารถจะรักษาในเรือนจําให้หายได้ (ค) เป็นหญิงซึ่งต้องโทษจําคุกเป็นครั้งแรก และไม่ว่าในกรณีความผิดคดีเดียวหรือหลายคดี ต้องได้รับโทษจําคุกมาแล้วถึงวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๒ ของโทษตามกําหนดโทษ (ง) เป็นคนมีอายุไม่ต่ํากว่าหกสิบปีบริบูรณ์ในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับตามที่ปรากฏ ในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรหรือทะเบียนรายตัวของเรือนจําในกรณีไม่มีชื่ออยู่ ในทะเบียนบ้าน และไม่ว่าในกรณีความผิดคดีเดียวหรือหลายคดี ซึ่งมีโทษจําคุกตามกําหนดโทษที่จะต้อง ได้รับต่อไปเหลืออยู่ไม่เกินสามปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ หรือเป็นคนมีอายุตั้งแต่เจ็ดสิบปีขึ้นไป (จ) เป็นผู้ต้องโทษจําคุกเป็นครั้งแรก และมีอายุยังไม่ครบยี่สิบปีบริบูรณ์ในวันที่ พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับตามที่ปรากฏในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร หรือทะเบียนรายตัวของเรือนจําในกรณีไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน และไม่ว่าในกรณีความผิดคดีเดียว หรือหลายคดี ต้องได้รับโทษจําคุกมาแล้วถึงวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๒ ของโทษ ตามกําหนดโทษ หรือ (ฉ) เป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยม และไม่ว่าในกรณีความผิดคดีเดียวหรือหลายคดี ซึ่งมีโทษจําคุกตามกําหนดโทษที่จะต้องได้รับต่อไปเหลืออยู่ไม่เกินสองปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ ใช้บังคับ
มาตรา ๗ ภายใต้บังคับมาตรา ๘ มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๒ นักโทษเด็ดขาดซึ่งมิได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวไปตามมาตรา ๖ ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ลดโทษดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ต้องโทษจําคุกตลอดชีวิต ให้เปลี่ยนเป็นกําหนดโทษจําคุกห้าสิบปี แล้วให้ลดโทษ ตามลําดับชั้นนักโทษเด็ดขาดตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์หรือกฎหมายว่าด้วยเรือนจําทหาร ดังต่อไปนี้ ชั้นเยี่ยม ๑ ใน ๔ ชั้นดีมาก ๑ ใน ๕ ชั้นดี ๑ ใน ๖ ชั้นกลาง ๑ ใน ๗ โดยให้นับโทษจําคุกนั้นตั้งแต่วันที่ต้องรับโทษ เว้นแต่กรณีที่จะต้องนับโทษต่อจากคดีอื่น ให้นับโทษต่อจากคดีอื่นนั้น
(๒) ผู้ต้องโทษจําคุกไม่ถึงตลอดชีวิต ให้ลดโทษจากกําหนดโทษตามลําดับชั้นนักโทษเด็ดขาด ตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์หรือกฎหมายว่าด้วยเรือนจําทหารตาม (๑) (๓) ผู้ต้องโทษจําคุกเพราะความผิดที่ได้กระทําโดยประมาท ไม่ว่าจะมีความผิดอื่นร่วมด้วยหรือไม่ ให้ลดโทษจากกําหนดโทษลง ๒ ใน ๓ เฉพาะความผิดที่ได้กระทําโดยประมาท
มาตรา ๘ ภายใต้บังคับมาตรา ๙ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๒ นักโทษเด็ดขาด ซึ่งต้องโทษตามบัญชีลักษณะความผิดท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษ ดังต่อไปนี้ (๑) ผู้ต้องโทษจําคุกตลอดชีวิต ให้เปลี่ยนเป็นกําหนดโทษจําคุกห้าสิบปี แล้วให้ลดโทษตามลําดับชั้น นักโทษเด็ดขาดตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์หรือกฎหมายว่าด้วยเรือนจําทหาร ดังต่อไปนี้ ชั้นเยี่ยม ๑ ใน ๕ ชั้นดีมาก ๑ ใน ๖ ชั้นดี ๑ ใน ๗ ชั้นกลาง ๑ ใน ๘ โดยให้นับโทษจําคุกนั้นตั้งแต่วันที่ต้องรับโทษ เว้นแต่กรณีที่จะต้องนับโทษต่อจากคดีอื่น ให้นับโทษต่อจากคดีอื่นนั้น (๒) ผู้ต้องโทษจําคุกไม่ถึงตลอดชีวิต ให้ลดโทษจากกําหนดโทษตามลําดับชั้นนักโทษเด็ดขาด ตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์หรือกฎหมายว่าด้วยเรือนจําทหารตาม (๑)
มาตรา ๙ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๒ นักโทษเด็ดขาดซึ่งต้องโทษ ตามคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุกไม่เกินแปดปี ในความผิดฐานผลิต นําเข้าหรือส่งออก หรือผลิต นําเข้า หรือส่งออกเพื่อจําหน่าย หรือจําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่าย ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ กฎหมายว่าด้วยมาตรการในการปราบปรามผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุ ที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษจากกําหนดโทษตามลําดับชั้นนักโทษ เด็ดขาดตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์หรือกฎหมายว่าด้วยเรือนจําทหาร ดังต่อไปนี้ ชั้นเยี่ยม ๑ ใน ๗ ชั้นดีมาก ๑ ใน ๘ ชั้นดี ๑ ใน ๙ ชั้นกลาง ๑ ใน ๑๐
มาตรา ๑๐ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๒ นักโทษเด็ดขาดซึ่งต้องโทษ ตามคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุกเกินแปดปี หรือจําคุกตลอดชีวิต ก่อนหรือในวันที่พระราชกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๕๕ ใช้บังคับ ในความผิดฐานผลิต นําเข้าหรือส่งออก หรือผลิต นําเข้า หรือส่งออกเพื่อจําหน่าย หรือจําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่าย ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ กฎหมายว่าด้วยมาตรการในการปราบปรามผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือกฎหมายว่าด้วย วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษ ดังต่อไปนี้ (๑) ผู้ต้องโทษจําคุกตลอดชีวิต ให้เปลี่ยนเป็นกําหนดโทษจําคุกห้าสิบปี แล้วให้ลดโทษตามลําดับชั้น นักโทษเด็ดขาดตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์หรือกฎหมายว่าด้วยเรือนจําทหาร ดังต่อไปนี้ ชั้นเยี่ยม ๑ ใน ๙ ชั้นดีมาก ๑ ใน ๑๐ ชั้นดี ๑ ใน ๑๑ ชั้นกลาง ๑ ใน ๑๒ โดยให้นับโทษจําคุกนั้นตั้งแต่วันที่ต้องรับโทษ เว้นแต่กรณีที่จะต้องนับโทษต่อจากคดีอื่น ให้นับโทษต่อจากคดีอื่นนั้น (๒) ผู้ต้องโทษจําคุกไม่ถึงตลอดชีวิต ให้ลดโทษจากกําหนดโทษตามลําดับชั้นนักโทษเด็ดขาด ตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์หรือกฎหมายว่าด้วยเรือนจําทหารตาม (๑)
มาตรา ๑๑ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๒ นักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยมซึ่งถูกศาลพิพากษาให้เพิ่มโทษ ฐานกระทําความผิดอีกตามมาตรา ๙๒ หรือมาตรา ๙๓ แห่งประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่น ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษจากกําหนดโทษลง ๑ ใน ๙ มาตรา ๑๒ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๔ นักโทษเด็ดขาดดังต่อไปนี้ไม่อยู่ในข่ายได้รับพระราชทาน อภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกานี้ (๑) ผู้ต้องโทษตามคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุกเกินแปดปี หรือจําคุกตลอดชีวิต ภายหลังวันที่ พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๕๕ ใช้บังคับ ในความผิดฐานผลิต นําเข้าหรือส่งออก หรือผลิต นําเข้าหรือส่งออกเพื่อจําหน่าย หรือจําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่าย ตามกฎหมาย ว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ กฎหมายว่าด้วยมาตรการในการปราบปรามผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (๒) ผู้ซึ่งถูกศาลพิพากษาให้เพิ่มโทษฐานกระทําความผิดอีกตามมาตรา ๙๒ หรือมาตรา ๙๓ แห่งประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่น และมิใช่นักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยม (๓) นักโทษเด็ดขาดชั้นเลวหรือชั้นเลวมาก
มาตรา ๑๓ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๒ นักโทษเด็ดขาด ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานเรือนจํามาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปีในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ ใช้บังคับ ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษลงเป็นพิเศษอีกหนึ่งปี
มาตรา ๑๔ นักโทษเด็ดขาดซึ่งต้องโทษประหารชีวิต ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ลดโทษลงเป็นโทษจําคุกตลอดชีวิต
มาตรา ๑๕ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแห่งท้องที่ ผู้พิพากษาศาลแห่งท้องที่หรือตุลาการศาลทหาร แห่งท้องที่หนึ่งคน และพนักงานอัยการแห่งท้องที่หรืออัยการทหารแห่งท้องที่หนึ่งคน รวมสามคน เป็นคณะกรรมการ มีหน้าที่ตรวจสอบผู้ซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษและส่งรายชื่อต่อศาลแห่งท้องที่ ให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ เพื่อความสะดวกแก่ศาลแห่งท้องที่นั้น พิจารณาออกหมายสั่งปล่อยหรือลดโทษ หรือออกคําสั่งยกเลิกการทํางานบริการสังคมหรือทํางาน สาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ แล้วแต่กรณี
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นับเป็นอภิลักขิตกาลสําคัญ สมควรพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ เพื่อให้โอกาสแก่บุคคลเหล่านั้นกลับประพฤติตนเป็นพลเมืองดี อันจะเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติสืบไป จึงจําเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/A/023/1.PDF