- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- สกว.ระดมสมองกำหนดขอบเขตงานวิจัยด้านทรัพยากรน้ำ อาหาร พลังงาน
สกว.ระดมสมองกำหนดขอบเขตงานวิจัยด้านทรัพยากรน้ำ อาหาร พลังงาน
สกว.จัดเวิร์คช็อประดมสมองทุกภาคส่วนเพื่อกำหนดขอบเขตงานวิจัยด้านทรัพยากรน้ำ อาหาร และพลังงาน เพื่อให้เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ประเทศ ผอ.สกว.แย้มข่าวดีหน่วยงานในอังกฤษยินดีร่วมสนับสนุนทุนวิจัยด้านการบริหารจัดการน้ำและสิ่งแวดล้อม
เมื่อเร็วๆ นี้ ศ. นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการ สกว. เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการ “การจัดทำแผนที่นำทางการวิจัยประเด็นวิจัยยุทธศาสตร์ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ น้ำ ที่ดิน และการจัดการสิ่งแวดล้อม” ครั้งที่ 1 หัวข้อ “ภาพอนาคตและประเด็นงานวิจัยการจัดการน้ำอย่างยั่งยืนภายใต้แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย และความเชื่อมโยงระหว่างมิติความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ อาหาร และพลังงาน” ณ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อให้ได้ภาพอนาคตการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงประเด็นความรู้ที่เป็นงานวิจัยที่มีการเชื่อมโยงระหว่างมิติความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ อาหาร และพลังงาน โดยระดมสมองรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดขอบเขตงานวิจัยการจัดการน้ำอย่างยั่งยืนที่เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ของประเทศและของ สกว. โดยพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของน้ำและตัวแปรอื่นที่เกิดผลลัพธ์เป็นนวัตกรรม นโยบายสำคัญ การรู้เท่าทันในประเด็นยุทธศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างชัดเจน
ผู้อำนวยการ สกว. กล่าวถึงการหารือเรื่องการสนับสนุนทุนวิจัยกับผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ ในประเทศอังกฤษ ไทย คาดว่า สกว.จะได้รับการสนับสนุนโครงการใหม่ ๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารจัดการน้ำและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ยุทธศาสตร์ใหม่ของ สกว.มีโจทย์การทำงานคือ การวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน จากนี้ไป สกว. จะเพิ่มพลังและบทบาทในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของสังคมในเชิงรุกมากขึ้น จึงต้องจัดทำประเด็นวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ในการสนับสนุนทุนวิจัยที่ตรงเป้ามากขึ้น มีการบูรณาการงานวิจัย และทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคมมากที่สุด ทั้งนี้จะต้องกำหนดกระบวนการขั้นตอนที่สำคัญคือ สร้างความฝันร่วมกันว่าเป้าหมายสุดท้ายคืออะไร วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน หาช่องว่าง พิจารณางานวิจัยที่มีอยู่ทั้งในและนอก สกว. ว่าจะตอบโจทย์ได้หรือไม่ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำที่เป็นปัญหาไปสู่การใช้ประโยชน์จริง
ด้าน น.ส.ลดาวัลย์ คำภา รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า แนวโน้มสำคัญในอนาคตจะต้องจัดทำโซนนิ่งภาคเกษตร เพื่อรักษาดุลใน 4 ด้าน คือ สร้างความมั่นคงรายได้ให้เกษตรกร ใช้ประโยชน์ที่ดินเต็มตามศักยภาพ ตอบสนองตลาดโลก และรักษาวินัยทางการเงินการคลัง ตลอดจนส่งเสริมให้มีการปลูกพืชพลังงานทดแทน เนื่องจากปัญหาขาดแคลนพลังงานและต้นทุนที่สูงในปัจจุบัน
ขณะที่กรอบแนวคิดในการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ น.ส.ลดาวัลย์ เห็นว่าต้องมีการบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริ มองผลประโยชน์ในภาพรวมทุกมิติ ทุกภาคส่วนเข้ามาร่วม สร้างความเข้าใจ โดยประเด็นสำคัญด้านน้ำที่ควรให้ความสำคัญในอนาคต ได้แก่ 1. เอกภาพและการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมโดยปราศกจาการแทรกแซงเชิงนโยบายจากภาคการเมือง 2. กฎหมายด้านทรัพยากรน้ำที่มันสมัย 3. กลไกการจัดสรรการใช้น้ำระหว่างภาคการผลิต 4. ศักยภาพในการกักเก็บน้ำไว้ใช้ภายในประเทศอย่างเพียงพอ 5. การฟื้นฟูระบบนิเวศของ 25 ลุ่มน้ำสำคัญของประเทศให้เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำอย่างยั่งยืนและดูแลฟื้นฟูคุณภาพน้ำเสื่อมโทรมจากการลักลอบทิ้งน้ำเสียจากภาคอุตสาหกรรมและชุมชนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของภาคอุตสาหกรรม นายเจน นำชัยศิริ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กระทรวงพลังงานเล็งเห็นความสำคัญของการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนร่วมกันเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์พลังงาน จึงจัดทำแผนอนุรักษ์พลังงานเพื่อใช้เป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาพลังงานให้มีความมั่นคงอย่างยั่งยืน โดยสภาอุตสาหกรรมมีจุดยืนด้านพลังงาน คือ ประสิทธิภาพสูงสุดจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีการแข่งขันทั้งด้านการผลิตและการให้บริการ ผู้ใช้พลังงานมีทางเลือกในการซื้อพลังงาน ความมั่นคงด้านพลังงานต้องไม่อิงชนิดเชื้อเพลิงและแหล่งเชื้อเพลิงชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป ราคาพลังงานต้องสะท้อนสภาพตลาดและมีต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้พลังงานทดแทนที่มีศักยภาพ และมีศูนย์เผยแพร่ข้อมูลด้านพลังงานของภาคอุตสาหกรรม
ส่วนสถานการณ์ด้านอาหารนั้น ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงด้านอาหารของไทย คือ การมีข้อจำกัดในการผลิตอาหารอันประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การใช้ที่ดิน การลดลงของแรงงานภาคเกษตรและแรงงานสูงอายุ การสูญเสียของผลผลิตหลังเก็บเกี่ยวและความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่ความต้องการอาหารเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มจำนวนประชากร การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภค การนำพืชอาหารไปผลิตเป็นพลังงาน และการสูญเสียเนื่องจากการบริโภคที่ฟุ่มเฟือย ดังนั้นไทยจึงต้องมีจุดยืนโดยให้ความสำคัญกับกรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหาร ส่งเสริมให้มีการเร่งรัดและพัฒนาพันธุ์พืชและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ กำหนดเขตเกษตรเศรษฐกิจโดยมีมาตรการดูแลพื้นที่เพื่อการเกษตรและชลประทาน ภาครัฐควรสนับสนุนให้มีการลงทุนในต่างประเทศ จัดระเบียบการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และบูรณาการการใช้น้ำ
สำหรับสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการนั้น สถาบันน้ำเพื่อความยั่งยืนและความร่วมมือฯ ได้กำหนดยุทธศาสตร์ ดังนี้
1. ยกระดับการบริหารจัดการทรัพยากน้ำให้เป็นปัจจัยหนึ่งของวิถีชีวิตเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมระดับชาติ ด้วยการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา ระดันโยบายและปฏิบัติงานร่วมกัน
2. สร้างเครือข่ายภารกิจการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ โดยจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการน้ำครอบคลุมจังหวัดเศรษฐกิจ 20 จังหวัดทั่วประเทศให้มีส่วนร่วมทุกภาคส่วน
3. เสริมสร้างบุคลากรและเผยแพร่นวัตกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ทันสมัย โดยจัดทำหลักสูตรผู้นำด้านการบริหารจัดการน้ำ และแลกเปลี่ยนความรู้ด้านวิชาการและนวัตกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
“ในอนาคตอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูงคงอยู่ลำบาก ปิโตรเคมีถ้านำเข้าอยู่จะยังมีขีดความสามารถในการแข่งขันหรือไม่ เรื่องนี้เป็นสิ่งท้าทายสำคัญ อยากผลักดันอุตสาหกรรมที่ใช้ชีวมวลเป็นวัตถุดิบ ถ้าเพิ่มผลผลิตอย่างเดียวเพียงพอหรือไม่ ต้องเห็นทิศทางที่ชัดเจนและเริ่มตั้งแต่วันนี้ จึงฝากถึงการวิจัยและพัฒนาว่าจะต้องมีการบริหารจัดการน้ำที่ดีและมีประสิทธิภาพ”