- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- สปช.ด้านสังคม ชี้รัฐอย่ากลัวลงทุนด้านสวัสดิการสังคม
สปช.ด้านสังคม ชี้รัฐอย่ากลัวลงทุนด้านสวัสดิการสังคม
สปช.ด้านสังคม ชี้รัฐอย่ากลัวลงทุนด้านสวัสดิการสังคม ยกนโยบายให้เงินอุดหนุนรเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แต่กลับทุ่มงบน้อยไป ยันเป็นนโยบายสาธารณะที่ควรสนับสนุน จี้เร่งเดินหน้ากอช.-เตรียมเรื่อง บำนาญแห่งชาติ เพื่อเปลี่ยนหรือทดแทนเบี้ยผู้สูงอายุ
ที่มาภาพ :http://www.hfocus.org/content/2015/02/9281
วันที่ 17 เมษายน 2558 รศ. ดร. ภก. วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติด้านสังคม มีความเห็นต่อการทำงานของรัฐบาล โดยชื่นชมที่รัฐบาลทำให้มีเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งน่าจะทำให้สามารถเพิ่มระดับให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ส่งเสียงได้มากขึ้น ไม่รู้สึกกลัวอำนาจจนเกินไป
รศ. ดร. ภก. วิทยา กล่าวถึงการทำงานของรัฐบาลด้านเศรษฐกิจ นอกจากการส่งออก ก็ต้องหันมาเพิ่มด้านอื่นๆ ด้วย เช่น เศรษฐกิจชุมชนหรือเศรษฐกิจติดดิน เศรษฐกิจวัฒนธรรม และเศรษฐกิจวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
“ในทางสังคม รัฐบาลต้องไม่กลัวการลงทุนด้านสวัสดิการว่า เป็นประชานิยมหาเสียง เนื่องจากสวัสดิการสังคม ไม่ใช่ประชานิยม ตัวอย่างเช่น การให้เงินอุดหนุนการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เงินจำนวน 400 บาทที่จะเริ่มให้ในเดือนตุลาคม 2558 กับงบประมาณจำนวน 600 ล้านบาทนั้นยังไม่พอ ถือว่าน้อยเกินไป การให้เงินแม่เด็กเหล่านี้จะมีผลย้อนกลับมากกว่าการลงทุน จึงถือเป็นนโยบายสาธารณะที่ควรสนับสนุน. รวมทั้งต้องเร่งเดินหน้า พ.ร.บ การออมแห่งชาติ และการเตรียมเรื่อง บำนาญแห่งชาติ เพื่อเปลี่ยนหรือทดแทนเบี้ยผู้สูงอายุ”
สปช.ด้านสังคม กล่าวถึงสิ่งที่น่ากลัว คือ การเปิดการขยายการลงทุนเพื่อหวังผลเศรษฐกิจ ที่ไม่สามารถป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตประชาชน บทเรียน เรื่องเหมืองตะกั่ว เหมืองทอง ไฟไหม้บ่อขยะ น้ำมันรั่วในทะเล โดยเฉพาะการปล่อยให้นำเข้าแร่ใยหิน จากรัสเซีย โรงงานปล่อยน้ำเสียลงแหล่งน้ำสาธารณะฯ ไม่ถือว่าเป็นการสร้างรายได้ให้กับสังคมอย่างเป็นธรรม เพราะได้กำไรจากต้นทุนของชีวิตและสุขภาพประชาชน ทำลายอาหาร แหล่งน้ำ สิ่งแวดล้อม ที่ประชาชนต้องพึ่งพา การเร่งให้สัมปทานเหมืองโดยขาดระบบอนุมัติติดตามที่ดีพอ ถือเป็นเรื่องหายนะทางนโยบาย
“นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเร่งการคุ้มครองผู้บริโภค ที่คุ้มครองประชาชนไม่ให้เสียเงินจากการหลอกลวง เช่น โฆษณายาและอาหาร ฌาปนกิจหลอกลวง ซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์ไม่ได้ตามมาตรฐาน ฯ ซึ่งทำได้โดยการเร่งให้มีองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ที่สภาปฏิรูปแห่งชาติได้เสนอ ร่างกฎหมายไปยังรัฐบาลแล้ว”