- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- นักวิชาการเมียนมาร์ ชี้กม.พลเมือง จุดเริ่มต้นดันโรฮีนจา ลอยเคว้งในทะเล
นักวิชาการเมียนมาร์ ชี้กม.พลเมือง จุดเริ่มต้นดันโรฮีนจา ลอยเคว้งในทะเล
สกว.ชวนนักวิชาการเมียนมาร์ นำเสนอข้อมูลข้อค้นพบจากการศึกษาวิจัย ยันในประวัติศาสตร์ โรฮีนจา คือคนพื้นเมือง อยู่ในเมียนมาร์เมื่อ1,000 ปีมาแล้ว โดยกลุ่มโรฮีจาเข้ามาก่อน คนยะไข่ กระทั้งปี 1982 โรฮีนจาอพยพมากขึ้น จากนโยบายรัฐออกกฎหมายใหม่ ว่าด้วยสิทธิความเป็นพลเมือง ตัดสิทธิ ไม่ให้มีสถานะเป็นพลเมือง
วันที่ 22 พฤษภาคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัดประชุมเวทีสาธารณะ สกว.เรื่อง “Rohingya:The Forgotten people” ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 15 อาคาร SM Tower เขตพญาไท กรุงเทพฯ โดยประเด็นเรื่องโรฮีนจาในประเทศเมียนมาร์และประเทศไทย เป็นหนึ่งในกลุ่มชนที่ สกว.ได้ให้ทุนสนับสนุนเพื่อศึกษาวิจัย เพื่อให้การแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืน โดยมีข้อมูลและองค์ความรู้ที่ครอบคลุมทุกด้าน
นาย Nyi Nyi Kyaw นักวิชาการชาวเมียนมาร์ กล่าวถึงปัญหาของชาวโรฮีนจาในประเทศเมียนมาร์ เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1970 โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ รัฐอารกัน ( Arakan) หรือยะไข่ มีคนอยู่ 2 กลุ่ม คือ 1.โรฮีนจา และ 2.ยะไข่ ซึ่งกลุ่มคนทั้ง 2 กลุ่มเป็นส่วนผสมของชนหลายเผ่าพันธุ์ ในประวัติศาสตร์เข้ามาอยู่ในเมียนมาร์เมื่อประมาณ 1,000 ปีมาแล้ว โดยกลุ่มโรฮีจาเข้ามาก่อนมาประมาณ 100 ปี ขณะที่ยะไข่ เข้ามาที่หลัง
“โรฮีนจา อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของรัฐอารกัน ส่วนยะไข่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของรัฐอารกัน โดยโครงสร้างประชากรตั้งแต่อดีต ชาวโรฮีนจามีอยู่ 1 ใน 3 ขณะที่มีงานวิจัยทางตะวันตกบางชิ้นพยายามพิสูจน์ว่า ชาวโรฮีนจา เป็นคนอพยพหรือไม่อพยพ ก็พบว่า เมื่อ 500-600 ปีที่แล้ว โครงสร้างประชากรก็ยังแบ่งเป็น 1:3 ระหว่างชาวโรฮีนจากับคนยะไข่”
นักวิชาการชาวเมียนมาร์ กล่าวอีกว่า งานศึกษาหลายชิ้นจึงพยายามบอกว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนเพิ่มขึ้นมาเป็นล้านๆ คน เพียงเพราะคนเหล่านี้อพยพมาทำงานช่วงยุคอังกฤษเข้ามามีอำนาจ รวมทั้งมีงานวิจัยในอดีตพบว่า โรฮีนจา เป็นคนพื้นเมืองของพื้นที่นี้ ขณะที่รัฐบาลพม่า ก็มีการยอมรับคนกลุ่มนี้เป็นคนพื้นเมืองของเมียนมาร์มาโดยตลอด พร้อมกันนี้ยังมีเอกสารมากมายทางทหาร มีรายการโทรทัศน์ วิทยุ ที่ใช้ภาษาโรฮีนจาด้วยเช่นเดียวกัน
นาย Nyi Nyi Kyaw กล่าวถึงข้อสังเกตเกี่ยวกับกฎหมายพลเมืองที่มีต่อชนกลุ่มนี้ และสถานการณ์ไหลออกของชาวโรฮีนจาจากประเทศเมียนมาร์ ว่า นโยบายของรัฐใน ปี ค.ศ.1982 รัฐบาลเมียนมาร์ได้ออกกฎหมายใหม่ ว่าด้วยสิทธิความเป็นพลเมือง กฎหมายได้แบ่งความเป็นพลเมืองออกเป็น 4 ชั้น ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นที่กลุ่มโรฮีนจาถูกดึงออก ไม่ให้มีสถานะเป็นพลเมืองเมียนมาร์ ทำให้ขาดสิทธิต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องการศึกษา สวัสดิการทางสังคม การที่โรฮีนจา ไม่มีสถานะเป็นพลเมืองเมียนมาร์ และแม้โรฮีจาจะเคยถือ บัตรขาว (White cards to Rohingya) ก็ตาม แต่มีวันหมดอายุตั้งแต่เดือนมีนาคม 2015 ถึงปัจจุบันรัฐบาลเมียนมาร์ยังไม่ได้ออกบัตรใหม่มาทดแทนทำให้โรฮีนจาไปประเทศไหน ไม่มีสถานะว่า เป็นคนของประเทศไหน
“นโยบายรัฐ โดยเฉพาะกฎหมายความเป็นพลเมืองนี้เอง ทำให้เกิดการอพยพของชาวโรฮีนจาอยู่ถึง 3 ช่วง คือ ช่วงแรกระหว่างปี 1978-1979 ช่วงสอง 1991-1992 และล่าสุด ช่วงสาม ปี 2012- ปัจจุบัน การอพยพของชาวโรฮีนจา ช่วงสาม ถูกเปลี่ยนจากความขัดแย้งเชิงเผ่าพันธุ์ บวกเข้ากับเรื่องศาสนาทำให้อาการรุนแรงขึ้น วันนี้คาดว่าประชากรโรฮีนจาในเมียนมาร์ที่เหลืออยู่ 1 ล้านกว่าคนนั้น 15 % อยู่ในค่ายกักกัน อีก 2 แสนคนอยู่บริเวณชายแดน และบังคลาเทศ และประมาณ 3-5 แสนคนอยู่ที่ซาอุดิอาระเบีย”
สำหรับการแก้ไขปัญหาผู้อพยพชาวโรฮีนจา นักวิชาการชาวเมียนมาร์ กล่าวว่า ในมุมมองระหว่างประเทศ ควรพิจารณาความอาญา แนวทางการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และควรเปลี่ยนมุมมองต่อคนไร้สัญชาติ ให้นอกเหนือจากบริบททางกฎหมายเท่านั้น รวมถึงตระหนักเรื่องมนุษย์เรือ และการค้ามนุษย์ เป็นความมั่นคงของภูมิภาคนี้ ในส่วนของเมียนมาร์เองนั้น ก็ไม่ควรลังเลและเร่งที่จะจัดการสถานะความเป็นพลเมืองของชาวโรฮีนจา
เอกสารประกอบ: กรณีศึกษาโรฮีนจาในเมียนมาร์และในประเทศไทย