- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- สกว.แนะทำแผนที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว คุมมาตรฐานก่อสร้างอาคารขนาดเล็ก
สกว.แนะทำแผนที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว คุมมาตรฐานก่อสร้างอาคารขนาดเล็ก
ทีมวิจัยแผ่นดินไหว สกว. ถอดบทเรียนแผ่นดินไหวเนปาลสู่การรับมือของไทย ย้ำกรุงเทพฯ-ปริมณฑลเป็นพื้นที่เสี่ยง เหตุดินอ่อนเหมือนกาฏมาณฑุ แนะจัดทำแผนที่ความเสี่ยงภัยแบบแบ่งเขตย่อยของแต่ละเมือง ควบคุมมาตรฐานก่อสร้างอาคารขนาดเล็ก
วันที่ 4 สิงหาคม 2558 ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เป็นประธานเปิดเวทีแถลงข่าว ‘ถอดบทเรียนแผ่นดินไหวเนปาลสู่การรับมือของประเทศไทย’ เพื่อถอดบทเรียนเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.8 ที่ประเทศเนปาล และนำมาปรับใช้สำหรับการจัดการภัยพิบัติแผ่นดินไหวด้วยองค์ความรู้ในประเทศไทย ณ ห้องประชุม สกว.
โดยมี ศ. ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย เดินทางไปศึกษาสำรวจพื้นที่เสียหายจากการเกิดแผ่นดินไหวที่ประเทศเนปาล และผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมถึงการดูแลจัดการหลังเกิดเหตุการณ์ ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ โดยมีคณะผู้บริหารระดับสูงของประเทศเนปาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมให้ข้อมูลแก่คณะวิจัย
ศ. ดร.เป็นหนึ่ง กล่าวถึงการสำรวจความเสียหายในภาพรวมว่า ข้อมูลสำคัญที่ได้จากอุปกรณ์วัดการสั่นสะเทือนแสดงให้เห็นตัวเลขชัดเจนเกี่ยวกับดัชนีวัดความรุนแรง อัตราเร่งการสั่นสะเทือนของพื้นดินที่สั่นแบบช้า ๆ ใช้เวลาครบรอบประมาณ 5 วินาที ซึ่งเป็นการสั่นสะเทือนที่ไม่แรงเท่าใดนัก และน้อยกว่าความแรงที่เกิดขึ้นที่ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย แต่แรงพอที่จะทำลายอาคารที่อ่อนแอโดยเฉพาะอาคารขนาดเล็กและกลางให้เสียหายได้
การโยกช้า ๆ นี้มีผลต่ออาคารสูง ซึ่งอาจจะเกิดได้ที่กรุงเทพฯ เช่นกัน พื้นที่ส่วนใหญ่ในกรุงกาฐมาณฑุไม่ค่อยเสียหายยกเว้นในบางพื้นที่ที่กระจุกตัวกัน โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการปล่อยพลังงานและการไถลตัวของแนวศูนย์กลางมาทางฝั่งขวาในบริเวณตอนเหนือของกาฐมาณฑุที่อยู่ในหุบเขาหรือสันเขา ซึ่งทางการเนปาลพยายามเสริมกำลังอาคารให้กลับคืนมา แต่ก็ยังมีความเสี่ยงและเข้าใจผิดเรื่องการก่อสร้างในแบบเดิม
“ทีมวิจัยเสนอให้ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดแผ่นดินไหวในพื้นที่เสี่ยงภัยเพิ่มเติมกระจายอยู่อย่างน้อยเมืองละ 10-20 เครื่อง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงสร้างทางวิศวกรรมต้านทานแผ่นดินไหวในอนาคต หลายพื้นที่ที่มีการสั่นรุนแรงเป็นพิเศษน่าจะเป็นผลจากสภาพทางธรณีวิทยาของเนปาล แต่ก็อาจเกิดกับหลายเมืองทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยอย่างเชียงใหม่" นักวิจัยกล่าว เเละว่า ในบริเวณที่น้ำท่วมได้และจัดเป็นพื้นที่อันตราย จึงควรทำแผนที่เสี่ยงภัยในระดับเมืองนอกเหนือจากระดับประเทศเพื่อสร้างอาคารบ้านเรือนให้แข็งแรงมากขึ้นกว่าปกติ และต้องให้ความสำคัญกับอาคารอ่อนแอที่มีอยู่จำนวนมาก เช่น โบราณสถาน โดยการเสริมกำลังและตรวจหาความเสี่ยง
ศ.ดร.เป็นหนึ่ง กล่าวอีกว่า ส่วนอาคารสมัยใหม่ที่ดูเหมือนจะต้านทานแผ่นดินไหวและแข็งแรงกว่าของไทยก็ยังมีความเสียหายหลายรูปแบบ แสดงให้เห็นจุดอ่อนของโครงสร้างไทยจึงควรนำมาเป็นบทเรียนปรับปรุงมาตรฐานให้ดีขึ้น ปัญหาใหญ่ของเนปาลคือการนำมาตรฐานไปใช้ค่อนข้างลำบาก ไม่เข้าใจถึงความเสี่ยง และขาดการควบคุมจากหน่วยงานรัฐ เช่นเดียวกับไทย จึงต้องมาทบทวนกันต่อไป
ด้าน ดร.ธีรพันธ์ อรธรรมรัตน์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุถึงกลไกและลักษณะพิเศษของแผ่นดินไหวที่เนปาลว่า เนื่องจากกรุงกาฐมาณฑุอยู่บนแอ่งดินอ่อนซึ่งในอดีตเคยเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ บางตำแหน่งมีความหนามากกว่า 600 เมตร ทำให้เกิดการสั่นที่รุนแรงกว่าดินแข็ง คลื่นแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นต่ำกว่าที่คาดล่วงหน้าประมาณ 3 เท่า มีค่าความเร่งน้อยกว่าที่ อ.แม่สาย จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในพม่าขนาด 6.8 เมื่อปี พ.ศ. 2554 แต่มีพลังงานในคาบการสั่นสูงกว่ามาก สามารถสร้างความเสียหายกับอาคารทั้งเตี้ยและสูง
ลักษณะพิเศษนี้เกิดจากผลของชั้นดินอ่อนและขนาดของแผ่นดินไหวเช่นเดียวกับดินอ่อนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จึงควรสนับสนุนการติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวเพิ่มเติมในบริเวณดังกล่าวเพื่อให้วิศวกรสามารถทำนายลักษณะความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้เมื่อเกิดแผ่นดินไหว เพราะปัจจุบันในกรุงเทพฯ มีติดตั้งเพียง 1 สถานีเท่านั้น
ขณะที่รศ. ดร.นคร ภู่วโรดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังกล่าวถึงผลการขยายขนาดความรุนแรงของคลื่นแผ่นดินไหวเนื่องจากลักษณะของพื้นดิน ประเด็นสำคัญคือมีข้อสมมติฐานว่าดินอ่อนใต้แอ่งกรุงกาฐมาณฑุเป็นสาเหตุสำคัญที่เกิดการขยายคลื่นแผ่นดินไหวโดยเฉพาะขอบแอ่ง ภูเขาล้อมรอบ ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเนินเขา ทำให้คลื่นรุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้ยังขาดข้อมูลเชิงวิชาการสำหรับความเข้าใจปัญหาและจะเป็นอุปสรรคในการวางแผนป้องกันในอนาคต รวมถึงขาดข้อมูลและการประสานงานที่ดีด้านข้อมูลแผ่นดินไหวทั้งจำนวนสถานีตรวจวัดและการเปิดเผยข้อมูล
ทั้งนี้ความเสี่ยงแผ่นดินไหวของพื้นที่ย่อยอาจแตกต่างกัน จำเป็นต้องมีการจัดทำแผนที่ความเสี่ยงภัยแบบแบ่งเขตย่อยของแต่ละเมือง ซึ่งกรุงเทพฯ และปริมณฑลตั้งอยู่บนแอ่งดินอ่อนหนาหลายร้อยเมตร ส่วนเมืองสำคัญในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ก็ตั้งอยู่บนแอ่งดินตะกอนเช่นกัน จึงควรต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
ส่วนของโบราณสถานต่าง ๆ นักวิชาการ มธ. ระบุว่า คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 193 ล้านเหรียญสหรัฐ จากมูลค่าความเสียหายทั้งหมด 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณฟื้นฟู 206 ล้านเหรียญสหรัฐ และส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ทั้งนี้ความเสียหายของโครงสร้างส่วนใหญ่จะอยู่ที่บริเวณยอดเจดีย์ที่อ่อนแอหรือมีน้ำหนักมาก
โดยสาเหตุของความเสียหายเกิดจากคุณภาพของวัสดุที่ใช้ก่อสร้างที่มีทั้งหิน อิฐก่อ และไม้ร่วมกับกำแพงอิฐ อีกทั้งคุณลักษณะที่ไม่เพียงพอต่อการต้านทานแรงจากแผ่นดินไหว อายุของโครงสร้าง ขาดการบำรุงรักษาและการเสื่อมสภาพ และสภาพทางภูมิประเทศและสภาพของดิน
ขณะที่อุปสรรคในการฟื้นฟูโบราณสถาน ได้แก่ ขาดแคลนบุคลากรในหน่วยงานที่รับผิดชอบ ขาดข้อมูลด้านสถาปัตยกรรม/วิศวกรรม ซึ่งมีประเด็นที่ต้องถกเถียงกันในการ่อสร้างกลับมาอีกครั้งว่าจะสร้างแบบเดิมหรือแบบใหม่ รวมถึงงบประมาณ และเทคโนโลยี ส่วนโบราณสถานที่สำคัญของประเทศไทยบางแห่ง เช่นวัดใหญ่ชัยมงคล จ.พระนครศรีอยุธยา ขณะนี้มีการเอียงตัวของยอดเจดีย์แล้ว 3.5 องศา .