เชื่อมั่นว่าหากจะเอ่ยถึงขวัญใจเด็กไทยสมัยใหม่ที่กลายเป็นต้นแบบแห่งแรงบันดาลใจนั้น ‘โหน่ง a day’ คงเป็นชื่ออันดับต้น ๆ ที่อยู่ในใจของใครหลายคนขณะนี้ วัดได้จากจำนวนผู้เข้าฟังเสวนาในเวที อ่านออกเสียง หนังสือชื่อ ‘วงศ์ทนง’ ที่นิทรรศน์รัตนโกสินทร์จัดขึ้น ยิ่งตอกย้ำความคลั่งไคล้ในตัวของผู้ชายคนนี้
วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท เดย์โพเอทส์ จำกัด ผู้ผลิตนิตยสาร a day, a day BULLETIN, Hamburger, สำนักพิมพ์ a book, สำนักพิมพ์ polka DOT, a day Department Store, รายการ The Idol และทีวีแชมป์เปี้ยนส์ ซึ่งล้วนเป็นนิตยสารขายดีของไทย กว่า 12 ปีที่ ‘โหน่ง’ ทุ่มเทชีวิตให้กับนิตยสาร a day ด้วยวิธีการคิดแปลกใหม่ ฉีกกรอบนิตยสารแบบเดิม ๆ จนประสบความสำเร็จถึงปัจจุบันนั้น คงไม่ใช่เรื่องที่จะได้มาอย่างง่ายดาย
เมื่อหนังสือเป็นโลกแห่งความมหัศจรรย์
‘โหน่ง’ เริ่มบอกเล่าชีวิตวัยเด็กอย่างอารมณ์ดีว่าผมเกิดและเติบโตย่านสำเหร่ ฝั่งธนบุรี ในครอบครัวชนชั้นกลาง มีพี่น้องท้องเดียวกัน 7 คน ผู้ชาย 2 คน และผู้หญิง 5 คน โดยผมเป็นคนที่ 6 ของครอบครัว ซึ่งตลอดวัยเด็กนั้นได้คลุกคลีอยู่กับพี่สาวและน้องสาวตลอด เนื่องจากพี่ชายไปเติบโตและร่ำเรียนในอังกฤษ จะว่าไปถือเป็นภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะสับสนทางเพศพอสมควร (หัวเราะ) เพราะพี่สาวชอบชวนเล่นแต่งตัวตุ๊กตา กระโดดหนังยาง (ตอนนั้นผมกระโดดหนังยางเก่งมาก) หรือบางครั้งก็จะโดนพี่สาวจับแต่งตัวและแต่งหน้าเป็นผู้หญิง แต่ผมก็ยังรู้สึกเหงาอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมหายเหงาได้ คือ การอ่านหนังสือ เพราะปกติผมจะเข้ากับพี่น้องไม่ค่อยได้ ด้วยอุปนิสัยชอบอยู่คนเดียว และมีโลกส่วนตัวสูง ดังนั้นเมื่อได้อ่านหนังสือก็สามารถช่วยเยียวยาชีวิต จนถือได้ว่า “หนังสือเป็นโลกแห่งความมหัศจรรย์” ที่อ่านแล้วสนุก ให้ความรู้ ความคิด และจินตนาการกับผมเสมอ
“ตอนเด็ก ๆ แม่จะชอบซื้อนิตยสารไว้ที่บ้านมาก ไม่ว่าจะเป็นดิฉัน แพรว ลลนา ขวัญเรือน หรือสตรีสาร ซึ่งฉบับหลังถือว่าเป็นนิตยสารที่ดีมาก ผมก็หยิบมาอ่านแล้วรู้สึกว่าสนุก แต่ยังไม่รู้ว่าอยากทำหรือไม่ เพราะเด็กเกินไปที่จะคิด”
นอกจากอ่านหนังสือที่บ้านแล้ว ผมจะขอติดตามพี่สาวมาเรียนที่โรงเรียนสตรีวิทยาด้วย แต่ผมจะเข้าไปอ่านหนังสือในศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ ราชดำเนิน พอโตขึ้นมาหน่อยก็จะไปคลุกตัวอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติ เรียกว่าไปเช้ากลับดึก เพราะขอย้ำว่าการอ่านหนังสือมันคือความสุขมาก ๆ
‘วงศ์ทนง’ กล่าวต่อว่า กระทั่งเข้าสู่ช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย จำได้ว่าตอนนั้นตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดหมด ทั้ง ม.เชียงใหม่ ม.ขอนแก่น ม.บูรพา และม.สงขลานครินทร์ เพราะคิดว่า 4 ปีที่จะต้องร่ำเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น นอกจากการเรียนหนังสือแล้ว จำเป็นต้องได้ใช้ชีวิตในพื้นที่ที่เราอาศัยอยู่ด้วย สุดท้ายสอบเข้าได้ที่สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ซึ่งยอมรับว่า ผมชอบเมืองปัตตานีสมัยนั้นมาก เพราะเป็นเมืองที่ผสมผสานด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลาย จนเคยคิดว่าหากมีลูกสาวจะตั้งชื่อว่า ‘ปัตตานี’
ซึ่งขณะที่เรียนหนังสืออยู่นั้น ตั้งใจว่าจะเรียนให้ได้เกียรตินิยม แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นตอนอยู่ปี 1 จำได้ว่าไปลอกข้อสอบในห้อง เพราะอยากได้เกรด A จนถูกอาจารย์จับได้ และให้ติด E ทันที (เกรด E เทียบได้กับ F ในหลายมหาวิทยาลัย) จากเหตุการณ์คราวนั้นทำให้ผมรู้ว่าคนเรามีความสามารถทางการเรียนไม่เท่ากัน บางคนอาจจะมีทักษะที่เหมาะกับการเรียนในห้อง แต่สำหรับผมกลับชอบเล่นมากกว่า
“เมื่อผมอยากเรียนเก่ง จึงต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่น ความเครียดเลยเกิดขึ้น แต่เมื่อผมตัดสินใจว่าจะไม่เป็นบัณฑิตเกียรตินิยมแล้ว ชีวิตผมสบายขึ้นทันที เหมือนกับทุกสิ่งที่เคยแบกไว้มันถูกวางไปหมดแล้ว”
หลังจากนั้นผมจึงเอาเวลาที่เคยเคร่งเครียดกับการเรียนไปเล่นละครเวที ซึ่งถือเป็นโลกที่ดีมาก หรือแม้กระทั่งเคยนำรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นรถไฟจากปัตตานีไปลงที่นครศรีธรรมราช เพื่อขับขี่ตระเวนรอบเมืองคนเดียว ซึ่งตอนนั้นคิดว่า ‘เท่’ มาก แต่ที่ใช้เวลามากที่สุดคงเป็นการอ่านหนังสือ เรียกว่าหนังสือเล่มไหนที่บอกว่าเจ๋ง คลาสสิกระดับโลก ผมอ่านมาหมดแล้ว จึงถือได้ว่าชีวิตมหาวิทยาลัย 4 ปี เป็นช่วงเวลาที่ผมอ่านหนังสือมากที่สุดในชีวิต
จงอย่ายอมมีชีวิตที่ต้องทนอยู่กับมันไปทั้งชีวิต
เมื่อเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ‘โหน่ง’ เล่าว่า ตอนแรกได้ตระเวนสมัครงานตามบริษัทต่าง ๆ ทั้งเป็นเซลส์ขายของ ผู้ช่วยผู้จัดการเซเว่น อีเลฟเว่น แต่ไม่มีบริษัทใดรับเข้าทำงาน จนวันหนึ่งขณะที่ยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ เพื่อเตรียมตัวไปสัมภาษณ์งาน อยู่ดี ๆ ก็คิดอะไรไม่รู้ โดยคิดว่าสิ่งที่กำลังทำมันไม่ใช่เป้าหมายในชีวิตผม ดังนั้นจึงตัดสินใจเข้าบ้าน ก่อนจะนั่งทบทวนตัวเองว่า “ชีวิตนี้มีความฝันอะไร ความหวังอะไร ความสามารถอะไร อะไรเก่ง หรืออะไรอ่อน และสิ่งสำคัญผมต้องการอยู่กับอะไรไปตลอดชีวิต” สุดท้ายได้คำตอบว่า ผมชอบอ่านหนังสือ เขียนหนังสือดี และไม่ชอบทำอะไรที่นั่งอยู่กับโต๊ะทำงาน โดยมีงานวันนี้เหมือนกับเมื่อวาน งานเมื่อวานเหมือนกับเมื่อวานซืน เพราะฉะนั้นงานที่ผมอยากทำคือ ‘งานหนังสือ’
“ผมคิดว่าทุกคนจะค้นพบได้ หากรู้จักคุยกับข้างในของคุณด้วยความเข้มข้นที่สุดอย่างตรงไปตรงมา มันเหมือนกับเปลื้องเปลือยชีวิตตัวเองออกมา เพราะผมไม่เข้าใจว่าบางคนที่ต้องทนอยู่กับอะไรที่ไม่ชอบ ไม่อยากทำ แต่ต้องทนอยู่นั้น ทุกวันนี้ผมไม่เข้าใจเลย ทั้งนี้ผมยืนยันว่าอย่ายอมมีชีวิตชนิดที่ต้องทนอยู่กับมันไปทั้งชีวิต เพราะชีวิตเราสามารถเลือกได้ เพียงแต่การเลือกนั้นมันต้องแลกกับอะไรบางอย่าง ซึ่งทั้งหมดนี้คือวิธีที่ทำให้ผมค้นพบตัวเองว่าควรมีอาชีพอะไร”
เพียงไม่นาน ผมก็เริ่มต้นชีวิตกับการทำงานหนังสือภายใต้นิตยสาร ‘Hi Class’ อย่างที่บอกว่าผมน่าจะทำงานหนังสือ และเมื่อผมเริ่มต้นขึ้นก็คิดเลยว่าจะต้องสนุก แต่เมื่อทำขึ้นจริง ๆ มันกลับสนุกมากกว่าที่คิดเยอะ เรียกว่าต้องใช้คำว่า “ตื่นตาตื่นใจ” เพราะได้เจอบุคคลสำคัญที่ชื่นชอบ จำได้ว่าคนแรกที่ไปนั่งสัมภาษณ์เพื่อมาลงนิตยสาร คือ คริสติน่า อากีล่าร์ ซึ่งช่วงนั่นเธอดังมาก ส่วนคนที่สอง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง (หัวเราะ) ทำให้รู้สึกว่าอาชีพเราดีจังทำให้ผมได้เจอคนเก่ง ๆ หลายวงการ ได้เดินทางไปต่างประเทศ
‘วงศ์ทนง’ กล่าวต่อว่า ช่วงนั้นผมคิดเสมอว่าตัวเองไม่เก่ง ยังไม่มีประสบการณ์ ซึ่งสู้พี่ ๆ ที่ทำงานมาก่อนไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่คิดว่าสู้ได้ คือ ความขยัน เรียกว่าปีแรก ๆ ของการทำงาน ผมขยันมาก ถึงขนาดเวลาประชุม ทุกครั้งบก.จะถามว่าคอลัมน์นี้ใครจะทำ ผมก็รับอาสาทุกครั้ง ซึ่งผมยึดคติที่ว่า “ถ้าอยากเก่งเร็ว ๆ ต้องทำให้เยอะ ทำให้มากกว่าคนอื่น” สังเกตดูไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา นักธุรกิจที่เก่งได้ เพราะมาจากการฝึกฝนและคร่ำเคร่งกับงานที่ทำ ซึ่งผมก็ทำแบบนั้นกับงานหนังสือ
“เมื่อผมรู้สึกว่าตัวเองเก่งขึ้นจนเกิดความมั่นใจ ครั้งหนึ่งบก.มอบหมายงานและพูดอะไรสักอย่าง ผมนั่งคิดในใจว่า ‘อ่อนว่ะ’ แล้วก็มีความรู้สึกผมคิดได้ดีกว่า แต่ไม่กล้าพูดนะ ได้แต่คิดในใจ (หัวเราะลั่น) อย่างไรก็ตามผมรู้สึกเก่งถึงขนาดทำงานมาแค่ปีเดียวอยากเป็นบก.เลย แต่การจะเป็นบก.ที่ Hi Class นั้นค่อนข้างยาก เพราะมีคนที่พร้อมกว่าเราเยอะ จึงตัดสินใจลาออก”
แต่อีกเหตุผลหนึ่ง คือ ต้องการทำหนังสือที่มีเนื้อหาแตกต่างออกไปและอยู่ในองค์กรระดับมหาชน จึงสมัครที่ บริษัท อัมรินทร์ พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) กระทั่งตัดสินใจลาออกอีกครั้ง เพื่อไปทำนิตยสาร GM โดยมีคุณหนุ่ย เอกราช เก่งทุกทาง เป็นบก. ส่วนผมเป็นผู้ช่วยบก. กระทั่งคุณหนุ่ยตัดสินใจลาออกเพื่อไปให้เสียงพากย์กีฬาเต็มตัว ผมก็คิดว่าในฐานะที่เป็นผู้ช่วยบก. คงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นบก.แทน แต่เจ้าของนิตยสาร GM บอกกับผมว่า “โหน่งเด็กเกินไป เป็นบก.ไม่ได้”
ผมมีความรู้สึกทันทีว่าผิดตรงไหนที่เด็ก ในเมื่อผมเก่งก็ควรได้เป็นบก. ซึ่งทำได้เพียงคิดในใจดัง ๆ (หัวเราะ) แต่สุดท้าย ภายหลังผมก็เข้าใจว่า อายุที่เด็กเกินไปไม่สามารถจะเป็นบก.ได้ เพราะบก.ไม่ใช่จะเขียนหรือคิดเก่งอย่างเดียว แต่ต้องบริหารจัดการคนในองค์กรได้ด้วย ดังนั้น ‘การลาออก’ จึงเกิดขึ้นในชีวิตผมอีกครั้ง
หากเราทำอะไรอย่างตั้งใจแล้ว ผลงานจะนำพาไปเอง
โชคดีของผมเมื่ออมรินทร์ฯ มีแผนจะปรับปรุงนิตยสารแนวผู้ชายอย่าง ‘Trendy Man’ ใหม่ จึงติดต่อให้ผมไปเป็นบก. ซึ่งถือว่าผมเป็นบก.อายุ 26 ปีที่น้อยที่สุดช่วงนั้น จนสามารถสร้างกระแสนิตยสารผู้ชายให้เป็นที่จับตาได้ แต่ทำได้เพียง 2 ปีก็ต้องเจอกับวิกฤตทางเศรษฐกิจปี 2540 สื่อทุกแขนงได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะนิตยสารที่ปิดตัวเป็นรายวัน อมรินทร์ฯ จึงเลือกที่จะปิดหัวนิตยสารใหม่อย่าง Trendy Man เพื่อรักษาแพรวหรือบ้านและสวนไว้ โดยยอมรับว่าช่วงนั้นใจสลายเหมือนกัน เพราะผมตั้งใจทำงานมาก
“หนังสือปิดตัวภายใน 2 ปี ซึ่งผมพยายามทำความเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างที่บอกหากเราทำอะไรอย่างตั้งใจแล้ว ผลงานของเราจะนำพาไปเอง ตอนนั้นพอมีคนรู้ว่า Trendy Man จะปิดตัว ก็มีนิตยสาร 3 เล่ม ติดต่อให้ผมไปเป็นบก. แต่สุดท้ายผมก็เลือก IMAGE ซึ่งเป็นหนังสือที่ดี ทำสักพักหนึ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวผมเท่าไหร่ อึดอัดใจตลอดเวลาที่ทำ เลยตัดสินใจลาออก”
‘โหน่ง a day’ ยังย้อนอดีตให้ฟังอีกว่า ก่อนจะมานั่งผลิตนิตยสาร a day นั้น ผมได้รับการติดต่อจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีให้ไปทำนิตยสารให้ ซึ่งตอนนั้นอดีตนายกฯ ได้ตั้งบริษัท ทุนนวัตกรรม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่สนับสนุนหนุ่มสาวยุคใหม่ที่ฝันอยากจะมีกิจการของตนเองได้ ผมจึงได้ทำนิตยสารที่ชื่อ ‘สปาเก็ตตี้’ แต่พอทำไปเริ่มมีปัญหาด้านทุนดำเนินการ แม้จะมีทุนมาก แต่เมื่อผลตอบแทนน้อยก็ไม่ดี จึงต้องหาโฆษณาแฝงลงในนิตยสาร ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าจากหนังสือที่ชอบได้กลายเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาอื่นมาสอดแทรกเรื่อย ๆ สุดท้ายจึงตัดสินใจลาออกอีกครั้ง แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะก่อนหน้านี้ได้ชวนเพื่อน ๆ นักเขียนชื่อดังมาร่วมทำด้วย ระยะแรกที่ลาออกพวกเขาก็ไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจกันดีแล้ว
เมื่อลาออกมาเริ่มรู้สึกว่า คนเก่งไม่จำเป็นต้องมีชาติตระกูลดี แต่คนเก่ง ๆ ที่ผมเจอเยอะล้วนเป็นคนธรรมดา แต่เชื่อในวิถีแห่งการกระทำ ซึ่งตรงกับสิ่งที่ผมต้องการมาก ดังนั้น ‘a day’ จึงเกิดขึ้นท่ามกลางความต้องการให้เป็นนิตยสารแรงบันดาลใจกับหนุ่มสาวสมัยใหม่ ซึ่งเป็นการฉีกกรอบนิตยสารทั้งหมด เชื่อหรือไม่ว่าการทำครั้งแรกนั้น ไม่มีแม้กระทั่งเงินที่จะแต่งหน้าทำผมให้นักแสดงที่ขึ้นปกนิตยสาร เพราะเราเลือกที่จะขายเนื้อหามากกว่า กระทั่งประสบความสำเร็จจนถึงปัจจุบัน
เมื่อได้ทำงานที่รัก มันจะเป็นกิจกรรมเข้าจังหวะทันที
ส่วนโครงการ A Team Junior เกิดขึ้นอย่างไรนั้น ต้องบอกว่า ‘a day’ เกิดขึ้นได้จากโอกาสของทุกคนที่ร่วมระดมทุน ดังนั้นผมอยากตอบแทนสังคมจึงรับสมัครเด็กฝึกงานเพื่อลองทำงานแบบมืออาชีพแบบเข้มข้นตลอด 3 เดือน ที่สำคัญเดือนสุดท้ายเด็กฝึกงานทุกคนจะได้ทำ ‘a day’ เล่มจริง ขายจริง ขึ้นมา 1 เล่ม ด้วยฝีมือของพวกเขาเอง ซึ่งแต่ละปีจะมีคนมาสมัครกว่า 1 พันคน เราก็จะคัดเลือกให้เหลือเพียง 15 คนเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันสานต่อโครงการแล้วเป็นปีที่ 9 โดยสิ่งหนึ่งที่ผมภูมิใจ คือ เด็กที่เคยฝึกงานกับ ‘a day’ ได้งานทำ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะนิตยสารที่เขาลงมือทำเองมันดีมากสำหรับชีวิตเขา
“ผมเคยเป็นเด็กฝึกงานมาก่อน และเกิดความรู้สึกว่าฝึกงานไม่เห็นได้อะไรเลย ทำอยู่ 2 อย่างคือชงกาแฟกับถ่ายเอกสาร ซึ่งองค์กรส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้โอกาสทำ ไม่ใส่ใจเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่าการฝึกงานน่าจะเป็นสิ่งสำคัญมาก ผมจึงให้ฝึกแบบเข้มข้น”
ก่อนจบเขาได้ฝากข้อคิดว่า ปัจจุบันเด็กไทยหลายคนค้นหาตัวเองไม่เจอ ซึ่งเป็นสิ่งแปลกใจสำหรับผม ทั้งที่ความจริงการค้นหาตัวเองน่าจะไม่ยาก และง่ายกว่าการค้นหาคนอื่น เพราะเราอยู่กับตัวเรามาตลอด จึงควรจะรู้ว่าเราเป็นใคร ชอบอะไร เก่งอะไร อ่อนอะไร ที่สำคัญไม่มีใครมารู้ดีกว่าเรา แต่สิ่งที่ทำให้เราค้นหาตัวเองไม่เจอ อาจเป็นเพราะเราไม่ค่อยได้สื่อสารกับตัวเอง แต่หลายคนกำลังใส่ใจกับการสื่อสารกับคนในโลกโซเซียลมีเดียมากกว่า
“ผมอยู่ในวงการได้ เพราะมีความชัดเจนว่างานหนังสือเป็นอาชีพที่ผมจะทำไปตลอดชีวิต ซึ่งพอเราค้นพบตัวเองเร็วมากเท่าไหร่ จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ชอบ อีกอย่างหากคุณได้ทำงานที่รักและชอบจริง ๆ แล้ว ผมยืนยันว่าชีวิตจะไม่เหมือนทำงานเลย แต่มันเป็นกิจกรรมเข้าจังหวะ” ก่อนจะทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจ โดยยืนยันว่า อย่าคาดหวังว่าจะได้ประสบการณ์ยิ่งใหญ่จากการทำอะไรง่าย ๆ.
นี่คงเป็นเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำ ‘โหน่ง วงศ์ทนง’ หรือ ‘โหน่ง a day’ ที่ถูกถ่ายทอดออกมาในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงชั่วโมงกว่า ๆ ทั้งที่ความจริงเป็นการเดินทางที่แสนยาวนานหลายสิบปี ซึ่งเชื่อว่าประสบการณ์ของเขาเป็นตัวจุดชนวนความฝันและทะเยอทะยานให้ใครหลายคนได้อย่างดี...คงต้องขอชื่นชมในเนื้อหาที่ค่อย ๆ ถูกเจียระไนไว้ในหนังสือชื่อ ‘วงศ์ทนง’ อย่างสุดซึ้ง.
........................................................................
ของฝากถึงผู้ว่าฯ กทม.
ในโอกาสที่กรุงเทพฯ ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพเป็นเมืองหนังสือโลก ปี 2556 ผ่านมา 5 เดือนแล้ว ผมรู้สึกว่ามีความใช่ไม่ได้ในหลายเรื่อง นอกจากการเห็นป้ายประชาสัมพันธ์ “อ่านกันสนั่นเมือง” ทั้งที่ความจริงเราควรไปศึกษาเมืองต้นแบบที่เคยเป็นเจ้าภาพงานครั้งนี้ว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง เพราะเมื่อหันดูกิจกรรมส่งเสริมการอ่านของกรุงเทพฯ พบว่ามีเพียงการแจกหนังสือในรถแท็กซี่ที่ไม่เคยเห็นเลย หรือการจัดนิทรรศการส่งเสริมการอ่านที่เงียบเหงา ซึ่งล้วนแต่เป็นกิจกรรมที่ไม่สามารถสร้างเราให้เป็นเมืองหนังสือโลกได้
ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ควรทำในเวลาที่เหลือรัฐบาลต้องส่งเสริมให้หนังสือมีราคาที่ถูกลงจนนักอ่านสามารถซื้อได้อย่างไม่ต้องคิด และควรอนุมัติงบประมาณรวบรวมหนังสือดีของชาติพิมพ์แจกฟรีให้กับคนกรุงเทพฯ ภายใต้การดำเนินงานของคณะกรรมการที่มาจากทุกภาคส่วน รวมถึงให้มีในระบบออนไลน์ พร้อมปรับปรุงหอสมุดแห่งชาติ และห้องสมุดต่าง ๆ ให้ได้มาตรฐานตามหลักสากล ซึ่งถือเป็นรูปธรรมมากกว่าการประชาสัมพันธ์ที่ทำอยู่
วงศ์ทนง:18/05/56