"...สรุป นอกจากจะโอน หรือกู้ วิธีที่ทำได้ก่อนเลยคือคณะรัฐมนตรีมีมติให้นำเงินทุนสำรองจ่ายจำนวน 50,000 ล้านบาทตามมาตรา 45 พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ออกมาใช้ไปก่อน..."
เข้าใจครับว่างบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการ "เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น" ตามพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มาตรา 6 (11) ที่ตั้งไว้จำนวน 96,000 ล้านบาทร่อยหรอลงจนใกล้หมดในอีกไม่นานนัก เพราะวิกฤติ COVID-19 โดยหมดไปกับค่าใช้จ่ายเพื่อการเตรียมการป้องกันและรักษารวมทั้งเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อเนื่องกันหลายต่อหลายมาตรการ และยังจะต้องมีอีกหลายต่อหลายมาตรการ จำเป็นต้องเติมเงินเป็นการด่วน
วิธีการที่ผม และอีกหลายท่านรวมทั้งรัฐมนตรีบางท่าน เคยเสนอไป มีอยู่ 2 วิธี
1. โอนงบประมาณจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่ไม่เหมาะกับสถานการณ์แล้วมาสัก 10 % เป็นอย่างน้อย
2. กู้เงินมาใช้จ่ายเพิ่มเติมจากพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
โดยผมเห็นว่าควรทำ 1 ก่อน 2 ด้วยเหตุผลหลายประการที่ยังไม่ขอกล่าวซ้ำและเสริมในวันนี้
ทั้ง 2 วิธีต้องทำเป็นกฎหมาย
และในสถานการณ์ปัจจุบันสามารถทำเป็นกฎหมายระดับพระราชกำหนด
แต่มีอยู่อีกวิธีหนึ่งตามพ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 45 สามารถทำได้เลยโดยใช้เพียงมติคณะรัฐมนตรี ไม่ต้องทำเป็นพระราชกำหนดหรือพระราชบัญญัติด้วยซ้ำ
คือให้นำเงินส่วนที่เรียกว่า "เงินทุนสำรองจ่าย" ออกมาใช้ !
มีอยู่ 50,000 ล้านบาท !
เงื่อนไขที่จะสามารถทำได้ก็คือเมื่องบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการ "เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือมีความจำเป็น" ไม่เพียงพอ
และเมื่อได้จ่ายไปแล้ว ก็เพียงแต่ให้คณะรัฐมนตรีตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายเพื่อสมทบเงินทุนนั้นไว้จ่ายต่อไปในโอกาสแรก ซึ่งในกรณีนี้ก็คือในร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่กำลังเข้าสู่กระบวนการแล้ว
นี่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นบทบัญญัติใหม่ในพ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 เสียทีเดียว เพราะในพ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 ก็มีบัญญัติไว้ในทำนองเดียวกัน โดยอยู่ในมาตรา 29 ทวิ
เพียงแต่ยอดเงินในกฎหมายวิธีการงบประมาณฉบับเก่าปี 2502 มีเพียง 100 ล้านบาทเท่านั้น
สรุป นอกจากจะโอน หรือกู้ วิธีที่ทำได้ก่อนเลยคือคณะรัฐมนตรีมีมติให้นำเงินทุนสำรองจ่ายจำนวน 50,000 ล้านบาทตามมาตรา 45 พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ออกมาใช้ไปก่อน
จึงเรียนเสนอมาด้วยความเคารพ