ลองดูรัฐบาล ดูธนาคารกลางของประเทศตะวันตก ซึ่ง “โค” เข้าไป “ขวิด” ทีหลังเราด้วยซ้ำ เขากลับทุ่มหมดหน้าตักในทันที แบบไม่อั้นซะด้วย เพื่อเยียวยาครัวเรือนและผู้ประกอบการที่เดือดร้อน ให้ไม่ตายไปเสียก่อนที่จะผลิตยาออกมา
ไม่ต้องถกเถียงกันว่าใครบ้างที่เดือดร้อนจากโคขวิด เพราะมันขวิดไปทั่วโลกโดยไม่มี 2 มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจยักษ์-ใหญ่-กลาง-เล็ก และรถเข็น แผงลอย รวมไปถึงประชาชนตาดำๆ ทุกระดับชั้น
ลดสต็อค ปิดโรงงาน เลิกผลิตไปก่อนเพราะวัตถุดิบจากต่างประเทศไม่มา หรือของๆ เรายังส่งออกไปไม่ได้ ... ต้องปิดกิจการ เลิกจ้าง ... จะแห่กลับไปตายรังก็เคลื่อนย้ายไม่ได้ เครื่องบินของสายการบินทั่วโลกจอดแน่นิ่งที่สนามบินอันร้างผู้โดยสาร
ไม่มีกินก็ไปจี้ปล้นคนอื่น ปล้นบ้านและธนาคาร .. แหกคุก ... หมอนวดยังต้องกลับไปนวดขาตัวเองที่บ้านเล้ย .... ใครเคยมีรายได้จากการขายพวงมาลัยก็หมดแล้ว ... ขนาดขอทานยังเดือดร้อน
หนี้สินต่างๆ ทั้งที่ภาคธุรกิจกู้ และสินเชื่อที่คนกู้ยืมไปซื้อบ้านซื้อคอนโด รถ รวมทั้งสินเชื่อบุคคล ... ทั้งหลายทั้งปวงมันจะกลายเป็นหนี้เสีย (NPL) ในวันนี้พรุ่งนี้
เมื่อกิจการใหญ่ กลาง เล็ก สลบเหมือด หรือล้มหายตายจากไป คนที่เคยเป็นลูกจ้างก็จบเห่
ก็ไม่รู้จะกลับไปทำงานมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัวได้เมื่อไหร่ หรือไม่ ... เคยทำงานโรงแรม โรงแรมก็ปิดแล้ว เพราะไม่มีรายได้จากทัวร์ต่างชาติ และหมดทางจัดสัมมนา งานเลี้ยง ฯลฯ ไปอีกนานแค่ไหน ไม่มีใครรู้
แสนสาหัสกันทุกภาคส่วนละ จะสาหัสมาก สาหัสน้อย ก็แล้วแต่โชค
ถ้าเถ้าแก่ไปไม่ไหว เลิกจ้างเรา จะเลี้ยงดูลูกเมียได้อย่างไร หนี้สินบ้าน รถ อะไรต่อมิอะไรก็ยังต้องผ่อน ... แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปผ่อน ในเมื่อไม่มีรายได้เข้ามาซื้ออาหารให้ลูกกิน
หน้าแห้งกันหมดแล้ว มนุษย์ !
นอกจากนี้ พอร์ตลงทุนของแต่ละคนก็ได้รับผลกระทบ จะรวยขนาดปู่ Warren Buffett หรือใครๆ ก็โดนกันถ้วนหน้า ... ยิ่งถ้าใครเกษียณช่วงนี้แล้วไม่ได้จัดสัดส่วนลงทุนให้กระจายพอมาแต่แรก ก็ให้นึกถึงภาพตนเองเอามือทาบอก แล้วกระอักเลือดออกมาทางปากแบบหนังจีนได้เลย
พอร์ตกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของข้าพเจ้าเองที่อุตส่าห์ผสมผสานการลงทุนทั้งในกองทุนหุ้น กองทุนตราสารหนี้ภาครัฐ กองทุนทองคำ และกองทุน Real Estates ซึ่งกระจายไปลงทุนทั้งในไทยและต่างประเทศ ... ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยรวมๆ นับจากต้นปีก็ยังติดลบ
มันวิ่งอยู่ระหว่าง -8% ถึง -10% … ผันผวนขนาดจาก -10% กลายเป็น –8% ได้ชั่วข้ามวันสลับกันไปมา ... นี่ถ้าเป็นหุ้น 100% ละก็ คงติดลบไปกว่า 30% แน่ๆ
โคขวิด Corona Virus หรือ COVID-19 นี่มันตัวล้างตัวผลาญโดยแท้ ! และไม่ต้องเหงา เพื่อนเยอะ เพราะเป็นพร้อมๆ กันทั้งโลก
แล้วคิดดูสิ ว่ามันจะกระทบเศรษฐกิจทั้งโลกที่เชื่อมโยงกันขนาดไหน ไม่รู้จะจบเมื่อไร
อีก 1-2 เดือน ... อีก 6 เดือน หรือว่า 1-2 ปี ... ไม่พิมพ์ลงไปนานกว่านั้น เพราะไม่งั้นเราจะตายกันหมด (ร จ ต ก ม) ไม่ได้ตายเพราะไวรัส ก็ต้องอดตาย
เมื่อโลกผลิตวัคซีนหรือหาวิธีแก้ไขป้องกันไวรัสตัวร้ายนี้ได้แล้ว กว่าเศรษฐกิจจะฟื้น กว่าจะเดินหน้าการผลิต ย่อมต้องใช้เวลา แถมยังมีทีท่าว่าจะฟื้นช้ากว่าครั้งก่อนๆ
อย่าเพ้อเจ้อว่าจะฟื้นพุ่งปรี๊ดเป็น V Shape … ได้แค่ตัว U ไม่ใช่ L Shape ก็ดีใจจะแย่แล้ว
ไม่ต้องเถียงด้วยว่าเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และแม้แต่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ ‘ภาวะถดถอย’ ในปีนี้ หรือไม่ มันเห็นชัดๆ คาตาอยู่แล้ว
ในเมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องไปหลายเดือน จึงอยู่ที่ว่าทำอย่างไรถึงจะให้ Recession ที่กำลังเกิดนี้ ไม่ถลำลึกจนกลายเป็น The Great Depression ... ดับสนิททั่วโลก
ล่าสุดแบงค์ชาติได้ลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ให้หดตัวเป็น -5.3% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว +2.8% … หดตัวมากที่สุดนับจากวิกฤตต้มยำกุ้ง และอาจจะลงลึกได้มากกว่านี้ ถ้าโลกยังควบคุมการแพร่ระบาดไม่ได้ในอีก 3 เดือนข้างหน้า
ถึงแม้ว่าเราจะใช้นโยบายการเงินไปเอาชนะโคขวิดไม่ได้ แต่ในระหว่างที่โลกรอให้มียามาต้าน ธุรกิจทุกขนาดไปจนถึงหาบเร่แผงลอย รวมทั้งประชาชนชั้นรากฐานและชั้นกลางเขาจะพากันตายไปเสียก่อนนะสิ.
ดังนั้น สำหรับข้าพเจ้า วินัยทางการเงินการคลังในชั่วโมงนี้จึงไม่สำคัญเท่ากับการเร่งอัดฉีดเงินที่มากเพียงพอจะเข้าไปต่อลมหายใจให้ธุรกิจทุกขนาดที่เกิดปัญหา อัดฉีดเติมเงินให้ประชาชนที่เดือดร้อนให้เขามีชีวิตรอดอยู่ได้ และรักษาระบบการเงินของเราเอาไว้ไม่ให้ซวดเซ
ต้องประคับประคองกันไปให้อยู่รอดได้จนกว่าโคขวิดจะหมดฤทธิ์ ซึ่งถ้าจบลงได้เมื่อไหร่ การอัดฉีดประคับประคองไว้ไม่ให้เครื่องยนต์ดับก็จะส่งผลให้ฟื้นเร็วได้ทันที
จะ QE หรือจะอะไรก็ตาม ที่จะออกมาเป็นมาตรการทางการเงินและคลัง ต้องรวดเร็วและมากพอ ... ไม่ใช่ Too little, too late (รัฐบาลนี้ขี้ตืดมาก) … ย้ำว่าต้องเร็วและต้องมากจริงๆ ถึงจะต่อลมหายใจให้กิจการต่างๆ กับประชาชนที่เดือดร้อนได้ โดยต้องให้ถึงมือเขาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ลองดูรัฐบาล ดูธนาคารกลางของประเทศตะวันตก ซึ่ง “โค” เข้าไป “ขวิด” ทีหลังเราด้วยซ้ำ เขากลับทุ่มหมดหน้าตักในทันที แบบไม่อั้นซะด้วย เพื่อเยียวยาครัวเรือนและผู้ประกอบการที่เดือดร้อน ให้ไม่ตายไปเสียก่อนที่จะผลิตยาออกมา
อย่างสหรัฐฯ ก็จะใช้งบประมาณฉุกเฉินในวงเงินถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ มากที่สุดเท่าที่เคยทำ สูงเกือบ 10% ของ GDP เพื่อให้ความช่วยเหลืออก่ธุรกิจและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
อีกทั้งธนาคารกลาง (Fed) ก็รีบลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแบบฉุกเฉินติดต่อกันถึง 2 ครั้ง จนจะเป็น 0% อยู่แล้ว แถมยังประกาศลั่นว่าพร้อมจะทำ QE เพิ่มอย่างไม่อั้น รวมถึงออกโครงการต่างๆ มากมาย เพื่อสนับสนุนสภาพคล่องและเงินให้สินเชื่อแก่ธุรกิจ รักษาเสถียรภาพในภาคการเงิน และทำให้ตลาดการเงินทำงานได้ราบรื่นจนส่งผ่านนโยบายการเงินไปยังเศรษฐกิจในวงกว้างของประเทศได้
ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกต่างก็ออกมาตรการชุดใหญ่เช่นกัน แม้แต่ IMF ยังออกมาย้ำว่า พร้อมจะให้เงินช่วยเหลือทุกประเทศที่ขอมา เพียงแต่ขอให้แต่ละประเทศช่วยกันออกนโยบายประคองเศรษฐกิจแบบไม่อั้นให้ทั่วถึงทุกภาคส่วน ให้ทำแรงๆ ด้วยทุกกลไกที่มีอยู่
แน่ละ หนี้สาธารณะย่อมต้องเพิ่มขึ้นในทุกประเทศ จนกลายเป็นปัญหาหนักทางเศรษฐกิจในอนาคต แต่เลี่ยงไม่ได้เลย เพราะถ้าไม่ช่วยให้รอดในวันนี้ จะเหลือกี่คน กี่กิจการ ที่จะไปต่อสู้ ไปฟื้นฟู ในวันหน้า
จะโยกย้ายงบปีนี้ที่ยังไม่ใช้ จะกู้ในประเทศ จะอะไรๆ ก็ต้องทำ
เพราะถ้าไม่ช่วยประชาชน ไม่หล่อเลี้ยงธุรกิจ ราคาที่ต้องจ่ายมันจะหนักมากกว่าการก่อหนี้เพื่อช่วยให้เขารอด
ดังนั้น แม้จะรังเกียจการก่อหนี้ภาครัฐจนเกินไป แต่รอบนี้บอกได้เพียงว่า มาตรการของรัฐจะต้อง “ชุดใหญ่ ไฟกระพริบ” เพราะ This Time is Different
.