"...กระบวนการที่กล่าวมาทั้งหมด จะสร้างผู้นำที่เก่งๆ ขึ้นมาจำนวนมาก ในทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคธุรกิจ ภาคประชาชน ภาคการสื่อสาร และชุมชนท้องถิ่น ผู้นำเหล่านี้นอกเหนือไปจากการร่วมสร้างประเทศไทยให้เป็นสังคมสันติสุขแล้ว ยังมีสมรรถนะที่จะไปทำให้ประชาคมอาเซียนแข็งแรง และสร้างสันติภาพโลก..."
.......................................
เหตุวิกฤตชาติ - ขาดสมรรถนะในการจัดการ
การจัดการคือ อิทธิปัญญา หรือปัญญาที่ทำให้เกิดความสำเร็จ
อะไรที่ทำไม่สำเร็จ ถ้าใส่การจัดการเข้าไป จะสำเร็จเสมอ จนมีคำกล่าวว่า
“การจัดการทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้ - Management makes the impossible possible”
ประเทศไทยทำให้สิ่งที่เป็นไปได้ เป็นไปไม่ได้
เพราะขาดภูมิปัญญาในการจัดการเกือบจะโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุ 2 ประการ คือ
1. ระบบการศึกษาที่เน้นการท่องวิชาเป็นวิชาๆ ที่ดำเนินมากว่า 100 ปี ทำให้คนไทยจัดการไม่เป็น เพราะการจัดการคือการเชื่อมโยงองค์ประกอบต่างๆ ของความสำเร็จอย่างเหมาะสม ไม่ใช่การท่องวิชา มหาวิทยาลัยทั้งหมดก็ขาดสมรรถนะในการคิดเชิงระบบและการจัดการ
2. ระบบราชการ ซึ่งเป็นระบบบริหารอำนาจมากกว่าระบบการจัดการ การขาดสมรรถนะในการจัดการจึงเป็นไปอย่างทั่วถึง ทั้งในระบบการเมือง ราชการ การศึกษา องค์กรพัฒนาเอกชน มีผู้เตือนมานานแล้วว่า การที่ประเทศไทยภูมิปัญญาในการจัดการอันตรายยิ่งนัก แต่ก็เป็นเสียงที่ไม่ค่อยมีใครได้ยิน วิกฤตโควิดมาเผยให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งว่า ประเทศไทยขาดสมรรถนะในการจัดการ
ภาคธุรกิจมีสมรรถนะในการจัดการมากที่สุด
โดยความเป็นเหตุเป็นผล ภาคธุรกิจต้องมีสมรรถนะในการจัดการมากที่สุด เพราะถ้าไม่มีธุรกิจก็ต้องล้มละลาย เพราะทำอะไรไม่สำเร็จ ขณะนี้ภาคธุรกิจเป็นภาคที่มีคนเก่งๆ มากที่สุด มีการจัดการดีที่สุด มีความคล่องตัวสูง
ยามวิกฤติชาติ เพราะขาดสมรรถนะในการจัดการเช่นนี้ ภาคธุรกิจ จึงไม่อาจไม่ทำอะไร ต้องเข้ามามีบทบาทในการแก้ไข เช่น ในยามประเทศมีสงครามคับขัน แม้แต่นักโทษยังต้องออกจากคุก พระสงฆ์ยังต้องสลัดผ้าเหลือง ช่วยกันป้องกันบ้านเมือง ซึ่งอาจทำได้ดังนี้
แต่ละบริษัทตั้งสถาบันพัฒนาประเทศไทย
การทำความดีไม่ต้องขออนุมัติ สามารถลงมือทำได้เลย โดยบริษัทที่มีกำลัง ซึ่งคงจะมีไม่น้อยกว่า 1,000 บริษัท ตั้งมูลนิธิ และภายใต้มูลนิธิมีสถาบันเพื่อพัฒนาประเทศไทย หรือชื่ออะไรก็ได้ โดยมีวิธีการดังนี้
1. ซีอีโอของบริษัทดำรงตำแหน่งประธานของสถาบัน ซีอีโอของบริษัทที่มีความสำเร็จล้วนมีสมรรถนะในการจัดการสูง 1,000 บริษัท ก็เท่ากับประเทศมีซีอีโอเก่งๆ เข้ามาช่วยเรื่องการจัดการถึง 1,000 คน สมรรถนะในการจัดการประเทศพุ่งขึ้นทันที
2. แต่ละบริษัทสนับสนุนให้พนักงานของบริษัทได้เรียนรู้ปัญหาของบ้านเมือง และร่วมคิดวิธีการแก้ไข พนักงานของบริษัทล้วนเก่งๆ ถ้าเข้ามาสนใจปัญหาของบ้านเมือง 1,000 บริษัท หรือกว่า ก็เท่ากับมีสมองก้อนโตเข้ามาคิดเรื่องบ้านเมือง
3. แต่ละบริษัทคัดเลือกคนที่ฉลาดที่สุด กระตือรือร้นที่สุด ประมาณ 5-7 คน มาทำงานในสถาบันเพื่อพัฒนาประเทศไทยของบริษัท โดยยังทำงานเป็นพนักงานของบริษัท โดยวิธีนี้เท่ากับว่ามีคนที่เก่งที่สุดของบริษัท 1,000บริษัท รวมประมาณ 5-7 พันคน เข้ามาร่วมสนับสนุนการพัฒนาประเทศไทย
4. หลักการการทำงานของมูลนิธิเพื่อพัฒนาประเทศไทยคือ
สนับสนุนการร่วมจัดการการพัฒนาในเรื่องต่างๆ ทั้งในพื้นที่ ในองค์กร และตามประเด็น งานต่างๆที่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะมีแต่การบริหารตามโครงสร้าง แต่ขาดการจัดการ สถาบันเข้าไปสนับสนุนส่วนขาดคือ การจัดการ
5. ตามพื้นที่ บริษัทอาจเข้าไปสนับสนุนได้ทุกระดับตามกำลัง เช่น ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอจังหวัด
ในระดับต่างๆ เหล่านี้มีโครงสร้างหรือองค์กรที่ทำหน้าที่อยู่แล้ว แต่ที่ไม่สัมฤทธิ์ผลเท่าที่ควรเพราะการจัดการ การมีบริษัทที่มีความคล่องตัวและมีสมรรถนะในการจัดการสูง เข้าไปสนับสนุน
การร่วมจัดการเพื่อพัฒนา จะทำให้เกิดความสำเร็จ ทุกกรณีไม่มีข้อยกเว้นเพราะ “การจัดการทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เป็นไปได้”
โดยวิธีนี้การพัฒนาอย่างบูรณาการจะเกิดขึ้นเต็มพื้นที่ประเทศไทยคือ ทุกหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด โดยที่
เศรษฐกิจ – จิตใจ – สังคม – สิ่งแวดล้อม – วัฒนธรรม – สุขภาพ – การศึกษา - ประชาธิปไตย
ทั้ง 8 มิติ บูรณาการอยู่ในกันและกัน บูรณภาพทำให้เกิดดุลยภาพและความยั่งยืน นั่นคือสังคมศานติสุข
6. บริษัทอาจร่วมกันศึกษาและนิยามว่าประเทศไทยมีประเด็นใหญ่ อะไรบ้าง (Thailand Big Issues) ซึ่งอาจมี 20-25ประเด็น ประเด็นเหล่านี้ล้วนสำคัญอย่างยิ่งยวด ยาก และทำไม่สำเร็จ ทำให้ประชาชนประสบความทุกข์ยาก หรือเสียชีวิตโดยไม่สมควร
บริษัทใช้สมรรถนะในการจัดการ รวมผู้เชี่ยวชาญตามประเด็น จากทั้งภาคการเมือง ภาคราชการ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม ภาคสื่อมวลชนหรือใดอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นกลุ่มงานตามประเด็นใหญ่ 20-25 ประเด็นที่ว่านั้น กลุ่มงานตามประเด็นที่มีสมรรถนะสูงจะทำให้เกิดความสำเร็จในทุกประเด็นใหญ่ ทำให้ประชาชนพ้นจากความทุกข์ยากและเสียชีวิตโดยไม่สมควร
ยกตัวอย่างประเด็นใหญ่ 3-4 ประเด็นเช่น
• การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจร ปีละประมาณ 20,000 คน บาดเจ็บอีกหลายแสน เพิ่มจำนวนคนพิการสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหานี้ไม่เคยแก้ได้เลย จำนวนคนตายมากกว่าที่ตายในสงคราม หรือจากโรคระบาดโควิค หลายสิบเท่าตัว
• ความยุติธรรมและความเป็นธรรม คนจนที่เข้าไม่ถึงความยุติธรรมนั้นเจ็บใจเป็นอย่างยิ่ง เจ็บกายยังไปโรงพยาบาล เจ็บใจเพราะไม่ได้รับความยุติธรรม จะไปรับการเยียวยาจากที่ใด
ความเหลื่อมล้ำสุดๆ หรือการขาดความเป็นธรรม นำไปสู่ปัญหาทั้งปวง แต่ก็แก้ไขยากสุดๆ
• คุณภาพเด็กเยาวชนและครอบครัว กับอนาคตประเทศไทย
• การปฏิรูปการศึกษาเพื่อสร้างสมรรถนะของชาติ
• การสื่อสารเพื่อให้คนไทยรู้ความจริงอย่างทั่วถึง
• สมรรถนะของระบบการเมือง
ฯลฯ
ประเด็นใหญ่ประเทศไทยที่อาจนับได้ 20 - 25 ประเด็น คือ ประเด็นนโยบายสาธารณะของประเทศไทย ที่ทุกภาคส่วนเห็นตรงกัน ทั้งภาคการเมือง ราชการ วิชาการ สังคม ธุรกิจ พระศาสนา สื่อสารมวลชน
การมีเป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วม ของทุกภาคส่วนในสังคม จะเหมือนการจูนคลื่นแสงเลเซอร์ มีพลังทะลุทะลวงไปสู่ความสำเร็จ
ถ้าภาคธุรกิจสามารถเข้ามา “สนับสนุนการร่วมจัดการพัฒนา” ในเรื่องนโยบายสาธารณะ 20-25 ประเด็นใหญ่ของประเทศไทย ประเทศไทยจะประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดด
การเปลี่ยนผ่าน (Transformation)
การร่วมพัฒนา ที่กล่าวมาข้างต้นใช้กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ (Interactive learning through action) ของทุกฝ่ายในสถานการณ์จริง
การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติในสถานการณ์จริง เป็นกระบวนการที่ทรงพลังที่สุดในการเปลี่ยนผ่าน (Transformation) ที่ยิ่งทำ
• ยิ่งรักกันมากขึ้น
• ยิ่งเชื่อถือไว้วางใจกัน (Trust) มากขึ้น
• ยิ่งฉลาดมากขึ้น และฉลาดร่วมกัน
• เกิดปัญญาร่วม (Collective wisdom) ทำให้ฝ่าความยากไปสู่ความสำเร็จ
• เกิดความสุขประดุจบรรลุนิพพาน
ใน “วิกฤตความซับซ้อน” การใช้อำนาจไม่ได้ผล การปฏิวัติรัฐประหาร นอกจากไม่ได้ผลแล้ว ยังทำให้เกิดวิกฤตซ้อนวิกฤต
แต่กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติในสถานการณ์จริงดังกล่าว เป็นสันติวิธี เป็นกระบวนการทางปัญญาแบบมีส่วนร่วมที่ทรงพลังในการเปลี่ยนผ่าน (Transformation) ทุกมิติทั้งที่ตัวคน องค์กร และสังคม
ประเทศไทยที่เป็นองค์รวม - คุณสมบัติใหม่อันมหัศจรรย์ผุด บังเกิด (Emerge)
ประเทศไทยเหมือนประเทศเครื่องหลุด ที่ส่วนต่างๆ หลุด หรืออยู่แยกกัน ถึงเร่งเครื่องก็วิ่งไม่ได้ รถยนต์หรือเครื่องบินถ้าประกอบเครื่องครบเป็นองค์รวม เกิดคุณสมบัติใหม่อันมหัศจรรย์ เช่น เครื่องบินบินได้ หรือร่างกายมนุษย์ เมื่ออวัยวะต่างๆ ครบสมบูรณ์บูรณาการกันเป็นองค์รวมคือ ความเป็นคน มีคุณสมบัติอันมหัศจรรย์ที่อวัยวะต่างๆ ไม่มี
ถ้าประกอบเครื่องประเทศไทยให้ครบองค์รวม ประเทศไทยจะเกิดคุณสมบัติใหม่อันมหัศจรรย์ขึ้น
ระบบอำนาจชำแหละให้ขาดเป็นส่วนๆ
แต่การจัดการเชื่อมโยงให้เป็นองค์รวม
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมภาคธุรกิจจึงควรมีบทบาทในการบูรณาการประเทศ
กระบวนการที่กล่าวมาทั้งหมด จะสร้างผู้นำที่เก่งๆ ขึ้นมาจำนวนมาก ในทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคธุรกิจ ภาคประชาชน ภาคการสื่อสาร และชุมชนท้องถิ่น ผู้นำเหล่านี้นอกเหนือไปจากการร่วมสร้างประเทศไทยให้เป็นสังคมสันติสุขแล้ว ยังมีสมรรถนะที่จะไปทำให้ประชาคมอาเซียนแข็งแรง และสร้างสันติภาพโลก