"...อิงค์ชอบกิจกรรมมาก และพร้อมเสมอที่จะรับใช้โรงเรียน เพราะการทำกิจกรรมนั้นทำให้เป็นคนกล้าแสดงออกและสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ รวมทั้งฝึกความชำนาญในด้านการบริหารการจัดการ ตลอดจนเรียนรู้ในการบริหารบุคคลเพิ่มมากขึ้น เพื่อนำไปสู่การรับใช้สังคมตามคติพจน์เซอร์เวียมให้ดียิ่งขึ้น..."
วันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคมของทุกปี เป็นวันเด็กแห่งชาติ ปีนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ของประเทศไทย และบุตรสาวคนเล็กของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มอบคำขวัญวันเด็กปี 2568 ว่า “ทุกโอกาส คือ การเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง”
เนื่องในวันพิเศษ เช่น วันเด็ก 2568 สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) สืบค้นบทสัมภาษณ์ของ น.ส.แพทองธาร อดีตประธานเชียร์โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย เคยให้สัมภาษณ์กับ Weekender วันอาทิตย์ ปีที่ 23 (3) ฉบับที่ 116 วันอาทิตย์ ที่ 1-4 มิถุนายน 2546 ภายใต้หัวเรื่อง 'ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แพทองธาร ชินวัตร' ดำเนินการถ่ายภาพ โดย สถาพร เอื้องไมตรีกิรมย์
ครั้งนั้น แพทองธาร ได้รับเลือกเป็น พิธีกร งาน "The young virtuosi & Their Guiding stars" ของโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ที่โรงแรมเจดับบลิว แมริออท ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 75 ปี โดยมีไฮไลท์เป็นการแสดงเดี่ยวเปียโน, เปียโน 8 มือ ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายเจ้าของรางวัลระดับชาติ ได้แก่ สารินทร์ อภิศักดิ์ศิริกุล, ณิชาพัชร วลัยพัชรา รวมถึงศิลชินรับเชิญเป็นอาจาจารย์ดนตรีที่มีชื่อเสียงของประเทศ
คำสัมภาษณ์มีรายละเอียดดังนี้
"น้องอิงค์" บอกถึงความรู้สึกว่าตัวเองรู้สึกตื่นเต้นมาก ถึงแม้ว่าเมื่อปีที่แล้วจะเคยเป็นพิธีกรในงานโรงเรียนเหมือนกัน แต่ครั้งนั้นจะมีแค่นักเรียนกับผู้ปกครองเท่านั้น แต่ครั้งนี้รู้สึกว่าเป็นงานที่ใหญ่มากเพราะจะมีพวกพี่ ๆ สื่อมวลชนและคนอื่น ๆ ซื้อบัตรเข้ามาดูคอนเสิร์ตในครั้งนี้ด้วย ดังนั้นคนที่เข้ามาชมส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้จักใครก็ยิ่งทำให้ประหม่ามากขึ้น ซึ่งก็ต้องมีการเตรียมตัว ซึ่งอาจารย์จะคอยช่วยดูแลเรื่องสคริปต์ เรื่องการพูด ก็พยายามบอกว่าให้เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องเกร็ง แต่รู้สึกค่อนข้างยาก เพราะตัวเองเป็นคนพูดเร็ว จึงต้องหัดให้พูดช้า ๆ
การเปิดตัวต่อหน้าสาธารณชน รวมถึงบรรดากระจอกข่าวทั้งหลาย อิงค์บอกว่า "พ่อบอกให้ทำเต็มที่ และพยายามเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด ส่วนเรื่องการเจอนักข่าวมากๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องเจอและเข้าใจ แต่ยังรู้สึกเขินๆ อยู่ ซึ่งตัวเองคิดว่ายังเก่งสู้คุณพ่อไม่ได้ คุณพ่อเก่งมาก"
ได้มีโอกาสพูดคุยกับลูกสาวท่านหัวหน้าพรรคไทยรักไทยทั้งทีก็เลยอดถามถึงเรื่องการเรียนไม่ได้ เพราะใกล้จะเอนทรานซ์แล้วและน้องอิงค์ก็กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 6 เรียนอยู่แผนการเรียนอังกฤษ-คณิตศาสตร์
"ถ้าไม่นับเดือนนี้แล้วจะเหลือเวลาแค่ 4 เดือนเองตอนนี้ยอมรับว่าเครียดมากแต่ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด ส่วนคณะที่จะต้องการศึกษาต่ออยากจะเรียนรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ หรือจิตวิทยา เข้าเรียนที่ไหนก็ได้ไม่จำกัดสถาบัน แต่ตั้งใจที่คณะมากกว่าเพราะจะได้รู้ถึงเรื่องการบริหารคน อยากเรียนเพื่อมาช่วยงานบริษัทของคุณพ่อและคุณแม่ได้ในอนาคตถ้าจบออกมาแล้ว" บุตรสาวคนเล็กของผู้นำประเทศกล่าวอย่างฉะฉาน
ถามเรื่องการเตรียมตัวเจ้าตัวบอกว่า ช่วงเปิดเทอมเมื่อเรียนวิชาไหนมาก็จะนำกลับมาทบทวนหลังทำการบ้านเสร็จ แต่ถ้ามีเวลาว่างมากกว่านี้ก็จะนำรายวิชาที่เรียนใน ม.4, ม.5 กลับมา ทบทวนด้วย
"คุณพ่อไม่ได้แนะนำอะไรมาก ให้ตั้งใจเรียนเฉยๆ เลือกทำในสิ่งที่ถนัด ส่วนคุณแม่ก็บอกว่าว่าพยายามทำให้เต็มที่ทางครอบครัวไม่ได้กดดันอะไรมากแต่สำหรับอิงค์แล้วจะค่อนข้างเครียดมาก"
การผ่อนคลายจึงเป็นการเล่นกีฬาในครอบครัว เช่น ถ้าอยู่บ้านก็จะว่ายน้ำกับคุณแม่ แต่ถ้าคุณพ่อจะชอบตีกอล์ฟก็ไปเป็นเพื่อนเฉยๆ ไปนั่งด้วย ยังไม่ค่อยชอบตี เวลาไปอิงค์จะมีหนังสือพ็อกเกตบุ๊กไว้คอยอ่านเฉย ๆ อาจจะยังเด็กอยู่ก็ได้เลยทำให้ไม่ชอบกับกับกีฬาประเภทนี้ แต่ก็สามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้
"อีกช่วงหนึ่งที่จะมีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกันคือแม่จะชับรถมาส่งเกือบทุกวัน ถ้าคุณแม่ไปงานดึกก็ไม่ได้มาส่ง แต่ถ้าคุณพ่อมีประชุมเช้าพ่อก็มาส่งโดยแวะก่อนแล้วค่อยนั่งรถเข้าไปประชุม ช่วงเวลานั้นส่วนใหญ่จะคุยเรื่องสัพเพเหระแล้วแต่ละวันจะมีเหตุการณ์อะไรน่าสนใจก็จะหยิบยกมาคุยกัน"
ส่วนกิจกรรมในรั้วโรงเรียนนั้นที่ชอบเป็นพิเศษก็คือการเป็นเชียร์ลีดเดอร์โดยได้ร่วมทีมเชียร์ลีดเดอร์ระดับประถมศึกษาตั้งแต่ปีแรก จนเลื่อนขั้นมาเป็นรองประธานเชียร์ และประธานเชียร์ตามลำดับ และยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่เข้าร่วมอีก อาทิ เป็นผู้แทนห้องเรียนสำหรับโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม "โครงการรุ่งอรุณ" ของโรงเรียน ในปีการศึกษา 2542 และ 2543 เป็นพิธีกรในงานคอนเสิร์ต "A Musical Journey Through Strings" ของนักเรียนไวโลลินที่โรงเรียนในปีการศึกษา 2546
"อิงค์ชอบกิจกรรมมาก และพร้อมเสมอที่จะรับใช้โรงเรียน เพราะการทำกิจกรรมนั้นทำให้เป็นคนกล้าแสดงออกและสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ รวมทั้งฝึกความชำนาญในด้านการบริหารการจัดการ ตลอดจนเรียนรู้ในการบริหารบุคคลเพิ่มมากขึ้น เพื่อนำไปสู่การรับใช้สังคมตามคติพจน์เซอร์เวียมให้ดียิ่งขึ้น"
ส่วนการไปเรียนต่อเมืองนอกอิงค์บอกว่า อยากเรียนต่างประเทศเหมือนกัน แต่ก็อยากอยู่เป็นเพื่อนกับคุณพ่อคุณแม่ก่อนไว้ให้โตก่อนแล้วไปกันทั้งหมดเลย อันนี้เดาเอา แต่ลึก ๆ แล้วท่านคงอยากให้เรียนในเมืองไทย เป็นคนไทยอยู่เมืองไทยดีกว่า ด้านอนาคตทางการเมืองนั้นจะเดินตามรอยเท้าคุณพ่อไหมนั้นยังไม่ได้คิดเพราะเป็นเรื่องค่อนข้างไกลตัว แต่ ณ ตอนนี้ด่านแรกที่จะต้องทำให้ประสบความสำเร็จก่อนก็คือการเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้เสียก่อน
ทั้งหมดนี้คือภาพและบทสัมภาษณ์ที่ น.ส.แพทองธาร ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนสมัยยังเป็นนักเรียนมัธยม เมื่อ 22 ปีที่แล้ว ไม่มีใครอาจรวมทั้งตัวเธอคาดคิดว่า ชะตาชีวิตอดีตประธานเชียร์ จะเป็นผู้นำประเทศในเวลานี้