ที่ประชุมร่วมผช.ผบตร. กับ รองอัยการฯ มีความเห็นสั่งฟ้อง 17 ผู้ต้องหาคดีเป้รักผู้การ พบมีเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมด้วย 1 ราย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 31 มกราคม 2568 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) ในฐานะ หัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน ประชุมร่วมกับ นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวนเป็นหัวหน้าคณะทำงานกำกับการสอบสวนคดีเป้รักผู้การภาค 2 พิจารณาสำนวนคดีฟอกเงิน
พล.ต.ท.อัคราเดช กล่าวว่า เป็นการประชุมร่วมกับนายวัชรินทร์ เพื่อพิจารณาสำนวนคดีฟอกเงิน ซึ่งเป็นคดีต่อเนื่องจากคดีเป้รักผู้การ โดยวันนี้ (31 ม.ค. 68) เป็นการประชุมครั้งที่ 2 มีผู้ที่อยู่ในข่ายที่ถูกดำเนินคดีกว่า 30 ราย โดยบางรายเป็นผู้ที่ถูกดำเนินคดีไปแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่บางรายทางพนักงานสอบสวนพบเห็นขึ้นมาใหม่ จึงต้องหารือกันในที่ประชุมว่าพยานหลักฐานต่างๆ ที่สามารถบ่งชี้หรือชี้ชัด ที่จะนำเข้ามาประกอบสำนวนมีความลึกขนาดไหน
"ส่วนที่สองนอกจากความลึกแล้วต้องมาจัดลำดับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้ว่าใครคือตัวการ ผู้สนับสนุน หรือ เป็นผู้สนับสนุนปลายๆ ส่วนจะเป็นใครบ้างนั้นขอไม่เปิดเผย คาดว่าต้องใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ จึงจะสามารถแจ้งข้อกล่าวหากับผู้กระทำผิดได้ คาดไม่เกินปลายเดือนเมษายน สามารถสรุปสำนวนส่งให้พนักงานอัยการได้"ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าว
ด้านนายวัชรินทร์ กล่าวว่า สำหรับคดีเป้รักผู้การ ก่อนหน้านี้เป็นการดำเนินคดีตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ซึ่งพนักงานอัยการได้มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาไปแล้ว ขณะที่ในวันนี้จึงเป็นการทำสำนวนคดีที่เกี่ยวเนื่อง คือ ความผิดตามพ.ร.บ.ฟอกเงิน ซึ่งจะมีการพิจารณาว่าใครบ้างที่เข้าข่ายที่จะถูกดำเนินคดีในข้อหาฟอกเงิน ทั้งนี้ คาดว่าจะใช้เวลาไม่นานเนื่องจากมีหลักฐานค่อนข้างชัดเจน เกี่ยวกับเส้นการเงินของผู้ต้องหาทั้งหมด
@แจ้งข้อหา 17 ราย - ย้อนปูมคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังประชุมเสร็จคณะทำงานมีมติจะแจ้งข้อหาผู้ต้องหาเบื้องต้น ประกอบด้วย นายวีระหรือ บอย กับพวกรวม 17 ราย โดย1 ในนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมอยู่ด้วย
สำหรับการประชุมของคณะทำงานร่วมในวันนี้มาจากเมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา พลตำรวจโทอัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในฐานะ หัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน ได้มีหนังสือขอเชิญพนักงานอัยการเข้าตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวนคดีฟอกเงินที่เกี่ยวพันกันกับคดีของ สภ.อ.คูคต ที่นายธนินวัฒน์ หรือเป้ อุดมเชาวเศรษฐ์ กับพวก กล่าวหาพลตำรวจตรี กัมพล ลีลาประภาภรณ์ ผบก.ชลบุรีขณะนั้นกับพวก ผู้ต้องหาในคดีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมกันเรียกรับทรัพย์จากเว็บไซต์พนันออนไลน์ 140 ล้านบาท หรือคดีเป้รักผู้การ
ต่อมาร้อยตำรวจเอกโชคชัย สิทธิผลกุล อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน เนื่องจากการสอบสวนคดีดังกล่าวมีผู้กระทำความผิดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้การตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน ตามมาตรา 31 แห่ง พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯ จึงมีคำสั่งแต่งตั้งพนักงานอัยการเป็นคณะทำงาน ประกอบด้วย
1.ร้อยตำรวจเอก โชคชัย สิทธิผลกุล อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน เป็นที่ปรึกษาคณะทำงาน
2 .นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวนเป็นหัวหน้าคณะทำงาน
3.นางสาววณี เกษตรธรรมอัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน5 เป็นคณะทำงาน
4.นายฉัทปณัย รัตนพันธ์อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 2 เป็นคณะทำงาน
5.ร้อยตำรวจโทโสภณ เกษมพิบูลย์ไชย อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 เป็นคณะทำงาน
6.นายธีรัช ลิมปยารยะ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน5 เป็นคณะทำงาน
7.นางสาวทักษอร สุวรรณสายะ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 5 เป็นคณะทำงาน
8.นายเทพสิทธิ์ เกียรติเดชปัญญา อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงกงานอัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน1 เป็นคณะทำงาน
9.นางสาวบุษยภา เมณฑกา อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 5 เป็นคณะทำงานและเลขานุการ
ให้มีอำนาจหน้าที่ ให้เข้าดำเนินการตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวนในทันที เพื่อให้เป็นไปตาม พรบ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด จนเป็นที่มาการประชุมหารือคดีในวันนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในส่วนคดีเป้รักผู้การภาค1 เดิมที่มี นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน ฉายาอัยการเอฟบีไอ กับ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบที่ผ่านมา โดยใช้ช่วงเวลาประมาณ 1 ปีกว่าในการสรุปสํานวน เนื่องจากเอกสารพยานหลักฐานมีจำนวนมาก
โดยเมื่อช่วงปลายเดือน ส.ค.2567 ทางคณะทำงานตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน และคณะพนักงานสอบสวน มีความเห็นควรสั่งฟ้องวันนี้ เเละนำตัวผู้ต้องหา30กว่าคนไปส่งพนักงานอัยการสำนักงานปราบปรามการทุจริตฯ พิจารณายื่นฟ้อง โดยมีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง ตามข้อหาแบ่งเป็นกลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 เป็นตำรวจตัวการ 16 ราย ความผิดข้อหา เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ มาตรา 149, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่ชอบ มาตรา157, พ.ร.บ. ป.ป.ช. และพ.ร.บ.อุ้มหาย กล่าวคือถ้ามีการจับผู้ต้องหาได้ จะต้องนําส่งพนักงานสอบสวนในท้องที่รับผิดชอบการสอบสวน แต่ถ้าไม่ได้นําส่ง หรือแจ้ง จะถือว่าเป็นการผิด
กลุ่มที่ 2 เป็นพลเรือน ความผิดข้อหาสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่, สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่เรียกรับผลประโยชน์ แสดงตัวเป็นตำรวจ และ พ.ร.บ.อุ้มหาย จำนวน 3 คน
กลุ่มที่ 3 เป็นพลเรือน ความผิดข้อหาสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และพ.ร.บ.อุ้มหาย จำนวน 10 คน
กลุ่มที่ 4 เป็นตำรวจไซเบอร์ 2 นาย กรณีการเข้าจับกุม แต่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มของผู้เรียกรับผลประโยชน์ ความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มาตรา 157
โดยมีการสั่งไม่ฟ้อง 3 คน คือ แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี 2 นาย และพลเรือน 1 คน ชื่อ นายนันทวัต เพราะจากการตรวจสอบพยานหลักฐานแล้วพบว่าทั้งหมดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ส่งไปให้ ผบ.ตร.พิจารณาทำความเห็นว่าจะมีความเห็นเเย้ง หรือไม่