ครม.มีมติอนุมัติให้ รฟท. กู้เงิน 1,500 ล้านบาท ระยะเวลาสัญญา 2 ปี เพื่อเป็นทุนหมุนเวียน 'สภาพัฒน์-คลัง-สำนักงบฯ' แนะเร่งทำแผนฟื้นฟูกิจการ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการกู้เงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 มาตรา 39 (4) โดยให้กระทรวงการคลัง (กค.) เป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม โดย รฟท. จะดำเนินการกู้เงินได้ภายหลังจากวงเงินกู้ได้รับการบรรจุไว้ในแผนบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ผ่านความเห็นชอบตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ การขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการกู้เงิน ให้ รฟท. พิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง สำหรับเงินกู้ระยะสั้น (วงเงินกู้เบิกเกินบัญชี) วงเงิน 1,500 ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง ที่ผ่านมากระทรวงคมนาคม (คค.) โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการกู้เงินระยะสั้น (วงเงินกู้เบิกเกินบัญชี) อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ รฟท. ใช้ในกรณีที่ขาดเงินทุนหมุนเวียนและเพื่อไม่ให้การดำเนินงานต้องหยุดชะงัก โดยสัญญากู้เงินฉบับล่าสุดจะครบกำหนดในวันที่ 29 มีนาคม 2568 ในครั้งนี้ กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. จึงขอเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการกู้เงินระยะสั้น (วงเงินกู้เบิกเกินบัญชี) วงเงิน 1,500 ล้านบาท ระยะเวลาสัญญาเงินกู้ 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2568 – 29 มีนาคม 2570 โดยกระทรวงการคลัง (กค.) เป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม ทั้งนี้ เงินกู้ดังกล่าวได้ถูกบรรจุอยู่ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 แล้ว
2. กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ (สงป.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาแล้วเห็นชอบ และมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น (1) ให้ รฟท. พิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินด้วยวิธีการประมูลวงเงินกู้ระยะสั้น (วงเงินกู้เบิกเกินบัญชี) (กค.) (2) ให้ รฟท. เร่งรัดการดำเนินการตามแผนวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2566 – 2570 (แผนฟื้นฟู รฟท.) (สงป. และ สศช.) (3) ให้ รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเกี่ยวกับการให้รัฐบาลชดเชยผลการขาดทุนรายปีให้แก่ รฟท. เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาหนี้สะสมและพัฒนาการให้บริการแก่ประชาชนของ รฟท.