“...บางเคสเด็กถูกกระทำต่อเนื่องถึง 3 ปี ครูคนอื่นทนได้อย่างไร กระบวนการในระบบการศึกษาทนได้อย่างไร นี่คือความรุนแรง หรือในกรณีเมื่อผู้หญิงถูกข่มขืน บางคนถูกขัง ตัดขาดจากญาติมิตร สิ่งที่เราเจอคือทำไม ระบบเชิงโครงสร้างคือเพื่อนครู ครู หรือผู้อำนวยการโรงเรียนจึงไม่แทรกแซง...”
.......................................
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.orgรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2563 มีการจัดเสวนาหัวข้อ ‘รัฐกับความรุนแรงทางเพศที่เป็นระบบต่อเด็กหญิง’ สะท้อนถึงความรุนแรงต่อเด็กและผู้หญิงในหลายมิติทั้งเชิงโครงสร้าง ทางสังคมและวัฒนธรรม โดย มูลนิธิผู้หญิง ร่วมกับ มูลนิธิศานติวัฒนธรรม ศูนย์พหุวัฒนธรรมและนโยบายการศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ร่วมเสวนาได้แก่ ผศ.ดร.สมบัติ ตาปัญญา ประธานกรรมการมูลนิธิศานติวัฒนธรรม ดร.นงเยาว์ เนาวรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์พหุวัฒนธรรมละนโยบายการศึกษา นางสาวอุษา เลิศศรีสันทัด ผู้อำนวยการมูลนิธิผู้หญิง และนางสาวสุกัญญา จันทร์โฉม ผู้แทนเยาวชนหญิง ดำเนินรายการโดย นางศิริพร สโครบาเนค ประธานมูลนิธิผู้หญิง
ทั้งนี้ นางศิริพร สโครบาเนค ได้ยกตัวอย่างกรณีที่ครูโรงเรียนแห่งหนึ่งข่มขืนนักเรียนเป็นระยะเวลาต่อเนื่องยาวนาน และยังชวนเพื่อนมาข่มขืนด้วย แล้วมีเพื่อนครูออกมาปกป้อง สะท้อนถึงความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ไม่ต่างจากในกรณีต่างประเทศที่มีการเหยียดสีผิว เหยียดเพศ และสะท้อนถึงความรุนแรงต่อผู้หญิงว่ามีหลายกรณี ทั้งความรุนแรงในเชิงวัฒนธรรม เช่น ค่านิยมชายเป็นใหญ่ ที่กดทับผู้หญิงให้ต้องยอมจำนน ความรุนแรงทางตรง อาทิ เมื่อเราเห็นคนกระทำกับคนที่ถูกกระทำอย่างชัดเจน เช่น สามีกระทำต่อภรรยา ทั้งที่ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ รวมถึง ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ( Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination Against Women : CEDAW ) ครอบคลุมหลักการว่ารัฐต้องมีภาระที่ต้องรับผิดชอบต่อความรุนแรงที่เป็นระบบ อาทิ ต้องรับผิดชอบต่อกรณีสถาบันต่าง ๆ ที่ปล่อยให้เกิดความรุนแรงและตอกย้ำให้เกิดความรุนแรง เช่น ความรุนแรงที่เกิดกับเด็ก
“ความรุนแรงที่เกิดกับเด็กหญิง มันเป็นโครงสร้างความเหลื่อมล้ำ ทางอำนาจ ครูกับเด็ก ในกรณีนี้สะท้อนถึงความรุนแรงทางวัฒนธรรม ที่ยินยอมให้เกิดขึ้น มีคนถูกกระทำ มีผลที่เกิดขึ้น การเกิดขึ้นในโรงเรียนเกิดขึ้นได้อย่างไร ต้องแก้ไขที่ความเชื่อและทัศนคติของครู” ประธานมูลนิธิผู้หญิงระบุ
ดร.นงเยาว์ เนาวรัตน์ กล่าวว่า ประเด็นการคุกคามทางเพศในสถานศึกษาที่มีต่อเด็กผู้หญิง นิยามเด็กที่ถูกคุกคาม ในสถานศึกษา หมายรวมถึงเด็กที่ทั้งมีสรีระเป็นผู้หญิง และเด็กที่มีความหลากหลายทางเพศ
“ทั้งนี้ นิยามการคุกคามทางเพศ หรือ Sexual Harassment ในพื้นที่การศึกษา มีประเด็นที่กดผู้หญิงให้เป็นเพียงวัตถุทางเพศ เป็นวัตถุแห่งความปรารถนาและความใครชั่วครู่ยาม เพื่อไปเพิ่มพูนความเป็นชาย” ดร.นงเยาว์ระบุ
ดร.นงเยาว์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในมุมของในสตรีนิยมเชื่อว่าการคุกคามทางเพศ หรือ Sexual Harassment มองว่าผู้กระทำมักเล็งเห็นผล ว่าประโยชน์ที่ได้รับคืออะไร หมายความว่าในกลไกทางจิตวิทยาคือชายคนนี้มักเล็งเห็นผลทีตนจะได้รับ ดังนั้น ในกรณีหนึ่งที่มีครูล่วงละเมิดทางเพศนักเรียน คำพูดจากเพื่อนครูที่ว่าครูคนนี้เป็นคนดีมาตลอด แต่ขาดสติไปเป็นชั่วครั้วชั่วคราว จึงไม่ถูกต้อง
“เพื่อนของครูคนดังกล่าว บอกว่าขาดสติ แต่ทั้งที่ขาดสติ แต่กลับเป็นระยะเวลานานนับปีที่ครูคนนั้นชวนเพื่อน ชวนรุ่นพี่มาร่วมล่วงละเมิดเด็ก นี่หรือ ทำไปโดยขาดสติ นี่คือประเด็นที่น่าสนใจ ในพื้นที่การศึกษา เราจะถกเถียงเรื่องประเด็นความรุนแรงทางเพศได้มากน้อยแค่ไหน” ดร.นงเยาว์ระบุ
พร้อมยกตัวอย่างในต่างประเทศ เมื่อมีความรุนแรงทางเพศเกิดขึ้นในโรงเรียนในสหรัฐอเมริกา นักเรียน หรือนักศึกษาที่เป็นฝ่ายถูกกระทำมักถูกกีดกันออกไปจากการมีส่วนร่วมนอกจากนี้ มีรายงานว่าในบางกรณี ก่อนจะข่มขืน ครูมักจะใช้วิธีแกมบังคับเด็ก หรือเรียกว่าใช้วิธียื่นหมูยื่นแมวมาล่อหลอก ว่าเธอต้องไปกินข้าวกับฉัน ไม่งั้นฉันไม่ให้เกรดเอ ไม่ให้เข้าห้องเรียน ไม่ให้ร่วมกิจกรรม กรณีเช่นนี้ เด็กถูกปฏิเสธจากผลประโยชน์ที่เขาควรได้รับ เด็กถูกเลือกปฏิบัติในสถานศึกษา
จากการบันทึกข้อมูลเคสต่างๆ พบว่าเด็กที่ถูกกระทำคุกคามทางเพศในโรงเรียน 75% มีอายุไม่ถึง 13 ปี ที่ถูกหลอกด้วยการยื่นหมู่ยื่นแมว
“บางเคสเด็กถูกกระทำต่อเนื่องถึง 3 ปี ครูคนอื่นทนได้อย่างไร กระบวนการในระบบการศึกษาทนได้อย่างไร นี่คือความรุนแรง หรือในกรณีเมื่อผู้หญิงถูกข่มขืน บางคนถูกขัง ตัดขาดจากญาติมิตร สิ่งที่เราเจอคือทำไม ระบบเชิงโครงสร้างคือเพื่อนครู ครู หรือผู้อำนวยการโรงเรียนจึงไม่แทรกแซง” ดร.นงเยาว์ระบุ
และกล่าวด้วยว่า "มีรายงานเผยว่าเมื่อเด็กไปฟ้องครู ครูก็มักบอกว่า ให้เลี่ยงๆ อยู่ห่างๆ จากครูคนนั้นไป เมื่อเด็กไปปรึกษาเพื่อน เพื่อนก็ไปช่วยไม่ได้"
ดังนั้น ในกรณีการคุกคามทางเพศ ครูจึงเปรียบเป็นองค์ประธาน เป็นเพศสัมพันธ์ที่มีครูเป็นองค์ประธาน เป็นเพศสัมพันธ์ที่สะท้อนภาพผู้ชายเป็นใหญ่และผู้ชายเป็นเจ้าของผู้หญิง เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้เด็กเลือกที่จะไม่ไปโรงเรียน การเรียนถดถอย สะท้อนภาพในเชิงโครงสร้างกรณีที่เด็กถูกเลือกปฏิบัติจากรัฐด้วย เช่น ครูอาจบังคับว่าถ้าไม่ไปกับครู เด็กก็ไม่ได้รับทุนการศึกษา ครูอาจใช้วิธีที่ทำให้เด็กเกิดการสมยอม ดร.นงเยาว์ระบุ
และกล่าวว่า ควรเปลี่ยนโรงเรียนจากพื้นที่คุกคามเป็นพื้นที่ปลอดภัย เป็นพื้นที่แห่งความหวัง เป็นพื้นที่ที่จะสร้างมาตรฐานและระบบคุณค่าต่าง ๆ ขึ้นมาได้ สร้างคุณค่าใหม่ขึ้นมาแทนระบบวัฒนธรรมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ครูและโรงเรียนต้องไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ไม่ปล่อยให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ของการคุกคาม ต้องเปลี่ยนจากพื้นที่คุกคาม รุนแรง ไปสู่พื้นที่เสริมพลังอำนาจแห่งความเท่าเทียม และการเรียนรู้ระบบโครงสร้างอำนาจต่างๆ แต่ปัจจุบัน เสียงของเด็กแผ่วเบามาก ถ้าเป็นไปได้ประเด็นเหล่านี้ควรต้องนำไปสู่การเรียนการสอนเพื่อให้เกิดความตระหนักในโรงเรียน การที่ครูคนอื่น หรือ ผอ.ไม่แทรกแซงเมื่อพบการกระทำผิด สะท้อนถึงวัฒนธรรมการบูชาชายเป็นใหญ่ เช่น ครูที่ข่มขืนนักเรียน เพื่อนครูกลับระบุว่าคนนี้ดี เป็นครูที่ดี เป็นสามีที่ดี พลังอำนาจของเด็กที่จะปกป้องตัวเองก็อ่อนแอลง สะท้อนภาพวัฒนธรรม ชายเป็นใหญ่
“เพราะฉะนั้น ทำไมเราถึงต้องวิเคราะห์ โครงสร้าง เรามีงานวิจัย ในต่างประเทศ มีกรณีเด็กคนหนึ่ง ถูกเด็กผู้ชายในโรงเรียนจับหน้าอกและก้น เมื่อเธอไปฟ้องครู ครูก็บอกว่า เด็กผู้ชายก็เป็นแบบนี้ ในที่สุด เด็กผู้หญิงต่อสู้ด้วยการต่อยผู้ชายเลือดออก เรื่องถูกนำเข้าที่ประชุม เด็กผู้หญิงถูกต่อว่า ว่าทำไมจึงใช้ความรุนแรง ในที่สุดเด็กหญิงตัดสินใจไม่บอกว่าตนเองถูกกระทำ เนื่องจากเด็กหญิงอ่านสัญญะของสังคมออก ว่าพูดไปก็เท่านั้น ดังนั้น ในหลายกรณีการที่ผู้หญิงและเด็กไม่พูด เพราะถูกกดทับไว้ในโครงสร้างของการประณามเพศหญิง ความรุนแรงที่เด็กผู้หญิงถูกกระทำ เป็นการกระทำแบบซ้อนทับ กดทับบางอย่าง อยู่กับประเด็นปัญหาเหล่านั้นที่ผู้ชายเข้ามาสร้างความรุนแรงกับผู้หญิง ไม่ต่างจากในเคสต่างๆ สังคมไทย เราจะทำอย่างไรกับประเด็นเหล่านี้” ดร.นงเยาว์ระบุ
นางสาวอุษา เลิศศรีสันทัด ผู้อำนวยการมูลนิธิผู้หญิง ได้ยกตัวอย่างความรุนแรงทางเพศที่เป็นระบบต่อเด็กหญิง อาทิ บางกรณีที่เด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศ เมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มักมีคำกล่าวหาว่าเด็กแต่งตัวโป๊ กล่าวหาว่าเด็กต้องการเงิน และไม่เชื่อปากคำของเด็ก แม้แต่ผู้ที่อยู่ในระบบยุติธรรมบางคนก็มีหลักคิดเช่นนี้
ผู้อำนวยการมูลนิธิผู้หญิง ยกเคสตัวอย่าง ที่มูลนิธิติดตามและให้ความช่วยเหลือ คือกรณีเด็กชาติพันธุ์รายหนึ่ง วัย 12 ปี ถูกพ่อเลี้ยงข่มขืน และถูกพ่อเลี้ยงลวนลามมาตั้งแต่เมื่อเด็กมีอายุ 8 ขวบ แต่เด็กไม่กล้าบอกใคร ไม่กล้าแม้แต่จะร้อง พ่อเลี้ยงก็ขู่จะฆ่าเด็ก กระทั่งในที่สุด มีครูสังเกตเห็นว่าพ่อเลี้ยงมาหึงหวงเด็กผิดปกติ ครูจึงพูดคุยกับเด็กจนนำไปเข้าสู่การช่วยเหลือทางกระบวนการยุติธรรม แต่แม่เด็กไม่เชื่อเด็ก แม่กลับเชื่อพ่อเลี้ยง
นอกจากนี้ เมื่อการพิจารณาคดีขึ้นสู่ชั้นศาล เด็กอึดอัดและเครียดมาก เนื่องจากการชี้ผู้ตัวต้องหาผ่านกล้องไม่สามารถทำได้เนื่องจากกล้องชำรุด ในศาลเด็กจึงต้องไปชี้พ่อเลี้ยงด้วยตัวเด็กเอง ขณะที่ผลของการตรวจร่างกายก็ไม่พบการข่มขืน เพราะระยะเวลาผ่านมาแล้ว เด็กไม่ได้ไปตรวจร่างกายทันที
นางสาวอุษา กล่าวว่า "คดีนี้ ในที่สุดศาลยกฟ้อง พ่อเลี้ยงไม่มีความผิด โดยผู้พิพากษาไม่พิจารณาประเด็นที่เด็กบอกว่าเด็กไม่ได้ยินยอม ในที่สุดเด็กกลับไปอยู่ที่บ้านเดิมไม่ได้เพราะกลัวพ่อเลี้ยงทำร้าย ต้องไปอยู่กับพ่อแท้ๆ ที่แยกทางกับแม่ นอกจากนี้ เมื่อมีการหารือกันในคณะทำงาน ทำให้ทราบว่า กล้องไม่ได้ชำรุดเฉพาะวันที่เด็กต้องไปชี้ตัวพ่อเลี้ยง แต่กล้องที่ศาลดังกล่าวชำรุดอยู่เสมอ นี่จึงเป็นประเด็นที่ตั้งคำถามว่าบ้านเราที่มักถือว่ามีความก้าวหน้าในกระบวนการยุติธรรม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับไม่ได้เป็นไปตามนั้น เหล่านี้คือกระบวนการที่คณะทำงานเราตั้งคำถามต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ "
นางสาวอุษากล่าวว่า แม้ปัจจุบันมีกองทุนคุ้มครองเด็ก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มีการจัดสรรงบประมาณของรัฐลงมา แต่จุดอ่อนคือ ขาดความเข้าใจในทิศทางเดียวกัน คนไม่คอยรู้จักกองทุนนี้มากนัก และผลลัพธ์จากการนำกองทุนไปใช้ ยังไม่ชัดเจน เราไม่เห็นว่า มีการทำงานอย่างเป็นระบบอย่างไร เพื่อแก้ปัญหาต่อความรุนแรงที่เกิดกับเด็ก
“กองทุนคุ้มครองเด็ก ได้รับงบประมาณ น้อยลงทุกปี เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่มีส่วนช่วยในการจัดการกับปัญหาความรุนแรงทางเพศ แต่สังคมยังไม่ให้ความสำคัญ รัฐบาลไม่ได้จัดสรรงบประมาณที่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่มีคุณภาพ” ผู้อำนวยการมูลนิธิผู้หญิงระบุ
ด้าน ผศ.ดร.สมบัติ กล่าวถึงวัฒนธรรมที่สะท้อนโครงสร้างชายเป็นใหญ่ในหลายประเทศทั่วโลก อาทิ ทัศนคติหรือค่านิยม ผู้ชายพยายามหลอมความคิดว่าผู้หญิงจะสวยต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ เช่น กรณีชนเผ่าในแอฟริกาต้องเจาะปากให้กว้าง หรือที่เมืองไทยก็มีประเพณีที่ผู้หญิงต้องมีคอยาว หรือแม้แต่ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา มีชายจีนแต่งกวีว่าหญิงงามต้องมีเท้าเล็ก ก่อให้เกิดค่านิยมประเพณีรัดเท้าให้เล็กของจีน หรือในยุโรป ในยุคสมัยหนึ่ง ผู้หญิงต้องรัดเอวให้เล็ก จนโครงสร้างภายในผิดเพี้ยน ร่างกายถูกทรมาน เพื่อให้ตัวเองสวย เป็นการปลูกฝังที่ยาวนานจนทำให้เห็นว่ารูปร่างเช่นนี้ คือความสวยงาม
ผศ.ดร.สมบัติ กล่าวว่า มีความรุนแรงในวัฒนธรรมประเพณีในหลายประเทศ ค่านิยมเหล่านี้มีลักษณะเหมือนดังกฎหมายอาทิ บางประเทศ สามีตีภรรยาตัวเองได้ ถ้าไม้ที่ใช้ตีมีขนาดไม่เกินนิ้วโป้งของตัวเอง กระทั่งในโรงเรียน ในอดีต ในไทยก็เช่นกัน เคยมีหลักกำหนดว่าตีนักเรียนได้ ถ้าไม้ที่ใช้ตีไม่เกิดขนาดที่กำหนด ส่วนในอินเดีย มีประเพณี ‘สตี’ ที่ผู้หญิงต้องกระโดลงกองเพลิงเมื่อสามีตาย แม้แต่ในประเทศไทย กรณี ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 บัญญัติความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราไว้ว่า"ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภรรยาของตนโดยขู่เข็ญประการใด ๆ..." กลุ่มสิทธิสตรีก็ตีความว่ากฎหมายนี้สื่อถึงว่าสามีข่มขืนภรรยาตัวเองได้ก่อนที่จะมีการแก้ไขในเวลาต่อมา
ผศ.ดร.สมบัติ กล่าวว่า ในบางประเทศในเอเชีย มีการทำแท้งทารกหญิง เมื่อตรวจพบถ้าเป็นผู้หญิงก็ไปทำแท้ง ในประเทศเหล่านั้นหาผู้หญิงได้ยากมาก นำไปสู่การค้ามนุษย์ หรือแม้แต่การประกวดนางงามเด็กก็สะท้อนค่านิยมที่ลดทอนคุณค่าผู้หญิง มีกระทั่งการรับน้องในบริษัท ในมหาวิทยาลัย ในโรงเรียนมัธยม ที่บางแห่งมีกิจกรรมให้ร้องเพลงที่มีเนื้อหาและท่าทางสื่อถึงการร่วมเพศ ขณะที่เนื้อหาของเพลงเป็นเพลงที่บรรยายถึงการข่มขืนผ่านการอุปมาอุปไมย รวมทั้งในละครไทย มีบทละครที่เกี่ยวกับผู้หญิงโดนทำร้ายและถูกข่มขืน แล้วสื่อก็โหมประโคมต่อไปเรื่อย ๆ
ผศ.ดร.สมบัติ กล่าวว่าการแก้ไขเรื่องพวกนี้ หัวใจของเรื่องคือประเด็นว่าด้วยความสัมพันธ์และความรุนแรงที่เกิดจากการใช้อำนาจ “ถ้าเราไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ก็ต้องทำให้เป็นพฤติกรรมที่มีความเท่าเทียม สร้างความรับรู้ สร้างทัศนคติที่ถูกต้องให้เด็กและเยาวชน ให้ตระหนักในสิทธิและความเท่าเทียมระหว่างเพศ นอกจากนี้ ต้องรู้เท่าทันอิทธิพลของสื่อที่เสนอเรื่องราวเหล่านี้”
ผศ.ดร.สมบัติ ยังกล่าวถึงแนวทางการแก้ไขโดยใช้องค์ความรู้ทางด้านจิตวิทยา ต้องเริ่มปลูกฝังนับแต่เด็ก ให้มีความเมตตา เข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง เมื่อพ่อแม่ให้ความรักความอบอุ่น เริ่มจากการเลี้ยงดูที่เหมาะสม เมื่อเติบโตมา เขาจะรักและเมตตาต่อผู้อื่น รวมทั้งควรสร้างวินัยเชิงบวก ฝึกทักษะการแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรง ฝึกทักษะเรื่องความสัมพันธ์ที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการรณรงค์ให้ความรู้ด้านกฎหมายและนโยบายที่ปกป้องคุ้มครองมิให้เกิดการคุกคามทางเพศ
ภาพรายงานข้อมูลและสถิติ : มูลนิธิผู้หญิง
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage