"...การที่พนักงานสอบสวน ไปทำการเปรียบเทียบปรับเอง จำนวน 500 บาท จึงเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจให้กระทำได้ เพราะการกระทำของผู้ต้องหาเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 18 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินด้วย การปฎิบัติของพนักงานสอบสวนดังกล่าวเป็นการปฎิบัติไปโดยไม่ชอบ อาจเข้าข่ายอันเป็นองค์ประกอบของความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการฐาน..."
................................
ขออนุญาต นำหลักกฎหมายมาเป็นแนวทาง เกี่ยวกับอำนาจการเปรียบเทียบ (กรณีไม่สวมหน้ากากอนามัย) ที่กำลังมีปัญหาในขณะนี้
พนักงานสอบสวนมีอำนาจเปรียบเทียบปรับ 1. คดีโทษปรับสถานเดียว เสียค่าปรับในอัตราสูง ตามมาตรา 37 (1) แห่งประมวลกฎหมายาวิธีพิจารณาความอาญา 2.ความผิดที่เป็นลหุโทษหรืออัตราโทษไม่สูงกว่าลหุโทษ หรือคดีที่มีโทษปรับสถานเดียวอย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ตามมาตรา 37 (2) (3) แห่งประมวลกฎหมายาวิธีพิจารณาความอาญา 3.เปรียบเทียบได้ตามกฎหมายอื่น ตามมาตรา 37 (4) แห่งประมวลกฎหมายาวิธีพิจารณาความอาญา
แต่โทษของการไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่ออกนอกเคหสถานหรือสถานที่พำนักของตนตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัด มีอัตราโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท ตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ 2558
พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้อย่างที่ปรากฎในประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพราะนอกจากเป็นไปตามองค์ประกอบความผิดมาตรา 34 ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ 2558 แล้วขณะนี้ยังอยู่ในช่วงประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน การกระทำจึงเข้าองค์ประกอบเป็นความผิดตามมาตรา 18 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินด้วยจึงต้องนำตัวส่งพร้อมสำนวนการสอบสวนต่อพนักงานอัยการฟ้อง ต่อศาลแขวง ดังตัวอย่างที่ ศาลแขวงสุราษฎร์ธานี มีคำพิพากษาคดีที่ 2323/2564 ปรับจำนวน 4,000 บาท จำเลยรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงปรับ 2,000 บาท
ซึ่งถ้าจะทำการเปรียบเทียบปรับก็ต้องกระทำโดยอธิบดีกรมควบคุมโรค หรือบุคคลที่อธิบดีกรมควบคุมโรคมอบหมายตามระเบียบคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อว่าด้วยหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบ พ.ศ.2563 ข้อ 2 บัญญัติ ให้อธิบดีกรมควบคุมโรคหรือผู้ที่อธิบดีกรมควบคุมโรคมอบหมายมีอำนาจเปรียบเทียบคดีที่มีโทษปรับสถานเดียวหรือที่มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ 2558
บุคคลที่อธิบดีกรมควบคุมโรคมอบหมายให้มีอำนาจเปรียบเทียบความผิดตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ 2558 โดยไม่ผิดกฎหมายอื่นๆ ด้วยปรากฏอยู่ในคำสั่งกรมควบคุมโรคที่ 1746/2563 เรื่อง การมอบหมายให้มีอำนาจเปรียบเทียบความผิดตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ลงวันที่ 14 ตุลาคม 2563 ประกอบด้วยบุคคล 15 ตำแหน่ง ดังนี้
รองอธิบดีกรมควบคุมโรค
ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคฯ
ผู้อำนวยการกองด่านควบคุมโรคฯ
ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา
ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป
ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อนำโดยแมลง
ผู้อำนวยการกองวัณโรค
ผู้อำนวยการกองโรคเอดส์ฯ
ผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูร
ผู้อำนวยการสถาบันราชประชาสมาสัย
ผู้อำนวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง
ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1-12
นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด
นายแพทย์เชี่ยวชาญ(ด้านเวชกรรมป้องกัน)
พนักงานสอบสวน(ทั้งพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครอง และพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจ ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา)
โดยการเปรียบเทียบต้องเป็นไปตามบัญชีอัตราการเปรียบเทียบแนบท้ายระเบียบคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์การเปรียบเทียบ พ.ศ.2563
ความผิดตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ 2558
ครั้งที่ 1 เปรียบเทียบปรับ 6,000 บาท
ครั้งที่ 2 เปรียบเทียบปรับ 12,000 บาท
ครั้งที่ 3 เป็นต้นไป เปรียบเทียบปรับ 20,000 บาท
ข้อ 8 กรณีมีเหตุผลพิเศษ ผู้มีอำนาจเปรียบเทียบมีอำนาจกำหนดค่าปรับแตกต่างได้แต่ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนเงินค่าปรับ
แต่ถ้าอยู่ในช่วงที่มีการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้วย นอกจากเป็นการกระทำที่เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 34 พระราชบัญญัติโรคติดต่อแล้ว การกระทำยังเข้าองค์ประกอบฝ่าฝืน มาตรา 18 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินด้วย ก็จะไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกรมควบคุมโรคและบุคคลที่อธิบดีกรมควบคุมโรคมอบหมายจะมีอำนาจเปรียบเทียบได้ ตามอำนาจในมาตรา 37 (4) แห่งประมวลกฎหมายาวิธีพิจารณาความอาญา พนักงานสอบสวนจึงต้องจัดทำสำนวนการสอบสวนนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานอัยการฟ้องต่อศาลตามกฎหมายต่อไป
ดังนั้นการที่พนักงานสอบสวน ไปทำการเปรียบเทียบปรับเอง จำนวน 500 บาท จึงเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจให้กระทำได้
เพราะการกระทำของผู้ต้องหาเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 18 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินด้วย
การปฎิบัติของพนักงานสอบสวนดังกล่าวเป็นการปฎิบัติไปโดยไม่ชอบ อาจเข้าข่ายอันเป็นองค์ประกอบของความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการฐาน
“ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหริอละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage