- Home
- Community
- กระแสชุมชน
- ทรัพยากร-สิ่งแวดล้อม
- ส.ต้านโลกร้อน ร้องศาลสั่ง 2 รง.ระเบิด-ก๊าซรั่วมาบตาพุดเลิกกิจการ
ส.ต้านโลกร้อน ร้องศาลสั่ง 2 รง.ระเบิด-ก๊าซรั่วมาบตาพุดเลิกกิจการ
ส.ต่อต้านโลกร้อน ร้องศาลปกครองสูงสุดพิพากษาระงับกิจการ รง.บีเอสที-อดิตยาฯ ต้นเหตุระเบิด-ก๊าซรั่วมาบตาพุด สั่ง 8 หน่วยงานรัฐร่วมจัดทำแผนจัดการความเสี่ยงครบวงจร
นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เป็นตัวแทนกลุ่มชาวบ้านใน จ.ระยอง 43 ราย ยื่นคำร้องขอให้ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งชี้ขาดใหม่เกี่ยวกับคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในคดีที่สมาคมฯ ได้ยื่นฟ้อง 8 หน่วยงานรัฐ ได้แก่ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ, เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.), รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, รมว.อุตสาหกรรม, รมว.พลังงาน, รมว.คมนาคม, รมว.สาธารณสุข และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.)
โดยระบุว่าทั้ง 8 หน่วยงานรัฐละเลยหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าจากการที่ร่วมกันเห็นชอบหรืออนุญาตให้เจ้าของโครงการหรือกิจกรรมที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ไปดำเนินการก่อสร้างหรือขยายโรงงานในพื้นที่มาบตาพุด บ้านฉางและใกล้เคียง ซึ่งสมาคมฯขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาต 76 โรงงาน และให้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 67 วรรคสอง
โดยคำร้อง ระบุว่าคดีนี้ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา 2 ก.ย.53 สั่งเพิกถอนใบอนุญาตโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ต่อมามีการยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุด ระหว่างนั้นได้มีการยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในชั้นพิจารณาของศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุด ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่ง 2 ธ.ค.52 ยืนตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองกลาง แต่ให้มีการยกเว้นใน 11 ประเภทโครงการจาก 76 โครงการ เนื่องจากเห็นว่ายังไม่น่าจะเข้าข่ายโครงการที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง
ต่อมาเกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้สารทูโลอีนของโรงงานบีเอสที อิลาสโตเมอร์ส ของบริษัท กรุงเทพซินธิติกส์ จำกัด ที่เป็นประเภทอุตสาหกรรมที่ 39 ใน 76 โครงการที่มีการฟ้องคดี ภายในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดวันที่ 5 พ.ค.55 ทำให้มีการรั่วไหลของสารพิษและควันดำสู่บรรยากาศแพร่กระจายจนมีคนงานเสียชีวิตกว่า 11 ราย และบาดเจ็บกว่า 142 ราย ซึ่งเหตุเกิดจากความประมาทเลินเล่อของผู้ประกอบการที่มีการจ้างเหมาบริษัทรับจ้างซ่อมบำรุงจากภายนอกที่ขาดมาตรฐานความปลอดภัยมาปฏิบัติงาน ซึ่งเหตุที่เกิดก็ไม่ใช่ครั้งแรกของบริษัท เพราะวันที่ 5-6 มี.ค.52 โรงงานดังกล่าวเคยมีสารเคมีรั่วไหลขณะขนถ่ายสารเคมีขึ้นจากท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด
และขณะนี้บริษัทได้จัดทำโครงการขยายโรงงานและติดตั้งเครื่องจักรเพื่อการผลิตเพิ่ม และจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) และ กนอ.จัดประชุมรับฟังความคิดเห็น 9 มี.ค. ซึ่งคณะกรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ(กอสส.) ท้วงติงความไม่สมบูรณ์หลายประการ
และอีกกรณีที่โรงงานอดิตยา เบอร์ล่า เคมีคัลส์(ประเทศไทย) จำกัด ที่ตั้งในนิคมอุตสาหกรรมเหมราช ตะวันออก (มาบตาพุด) เกิดมีก๊าซคลอรีนรั่วไหล จากความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่ผู้ประกอบการในการเปิดวาล์วสารโซเดียมไฮโปคลอไรด์ หรือสารฟอกขาวส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อยู่ใต้ลมในแคมป์คนงานและชุมชนบริเวณใกล้เคียงกว่า 140 รายที่สูดดม ซึ่งมีกว่า 12 รายที่แพทย์สั่งให้นอนสังเกตอาการผิดปกติในโรงพยาบาล โดยโรงงานดังกล่าวเคยเกิดเหตุทำนองนี้มาแล้วเมื่อ 7 มิ.ย.53 เกิดเหตุถังบรรจุสารเคมีล้มและระเบิดจนมีคนงานและชาวบ้านถูกส่งเข้าโรงพยาบาลกว่า 200 ราย
เนื่องจากคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวศาลปกครองสูงสุด 2 ธ.ค.52 อนุญาตให้โครงการของบริษัทอดิตยาฯ ผู้ก่อเหตุกรณีนี้ประกอบกิจการได้ ผู้ฟ้องจึงขอให้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวใหม่ โดยสั่งทั้ง 2 บริษัทหยุดประกอบกิจการเป็นการชั่วคราวหรือถาวรต่อไป และให้เพิกถอน EHIA ของโครงการบริษัททั้งสอง รวมทั้งสั่งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และ กนอ. ผู้ถูกฟ้องที่ 3- 8 ร่วมกันจัดทำปรับปรุงแผนสื่อสารความเสี่ยงภัย แผนรายงานฉุกเฉิน แผนอพยพหนีภัย แผนฟื้นฟูเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ
โดยให้ทุกแผนเชื่อมโยงกับทุกโรงงานในพื้นที่มาบตาพุดคอมเพล็กซ์ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย นิคมอุตสาหกรรมผาแดง นิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก(ระยอง) นิคมอุตสาหกรรมอาร์ไอแอล ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ฯลฯ พร้อมจัดตั้งศูนย์อพยพถาวรขึ้นภายใน 30 วันนับแต่ที่ศาลมีคำสั่ง และให้มีการซักซ้อมแผนร่วมกับชุมชนในพื้นที่มาบตาพุดและบ้านฉางทุก 3 เดือนที่ให้ผู้ฟ้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมทุกขั้นตอน และให้ศาลสั่งผู้ถูกฟ้องทั้งแปด ยุติการให้ใบอนุญาตประกอบกิจการ สำหรับโครงการหรือกิจกรรมใหม่ในพื้นที่มาบตาพุดคอมเพล็กซ์ทั้งหมดนับแต่ศาลมีคำสั่ง
"ศาลยังไม่ได้นัด คาดว่าต้องรอ 1-2 สัปดาห์ หากศาลปกครองสูงสุดสั่งไต่สวน ผมก็พร้อมนำชาวบ้านในพื้นที่มาให้ถ้อยคำ ขณะที่ข่าวที่ปรากฏมีความชัดเจนระดับหนึ่งแล้ว" นายศรีสุวรรณ กล่าว .