- Home
- Community
- กระแสชุมชน
- ทรัพยากร-สิ่งแวดล้อม
- เอ็นจีโอแฉร่าง พ.ร.บ.แร่ฉบับใหม่ ไฟเขียวนายทุนทำแร่เสรีไม่ผ่าน ครม.-ไม่ทำอีไอเอ
เอ็นจีโอแฉร่าง พ.ร.บ.แร่ฉบับใหม่ ไฟเขียวนายทุนทำแร่เสรีไม่ผ่าน ครม.-ไม่ทำอีไอเอ
กพร.ระดมความเห็นร่าง พ.ร.บ.แร่ฉบับใหม่ เอ็นจีโอแฉเปิดทางเอกชนสัมปทานเขตป่าลุ่มน้ำหวงห้ามโดยไม่ผ่าน ครม.ไม่ต้องทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม-ชุมชนตาม รธน.มาตรา 67 วรรค 2
วันที่ 16 พ.ค. 55 ที่โรงแรมสยามรอยัล ซิตี้ ธนบุรี กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ร่วมกับสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเวทีเพื่อระดมความคิดเห็นเป็นครั้งแรก ต่อร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. .... ฉบับใหม่ ซึ่งนายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ผู้ประสานโครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะทรัพยากรแร่ เปิดเผยว่ากระทรวงอุตสาหกรรมในสมัยนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ เป็นรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือขอถอนร่างดังกล่าวออกจาก ครม. และครม. มีมติถอนร่างฯ 28 ก.ย.53 เพื่อนำกลับไปทบทวนใหม่ ด้วยเหตุผลว่ามีเนื้อหาที่ขัดรัฐธรรมนูญหลายประเด็นในเรื่องสิทธิชุมชน เช่น กำหนดว่าแร่เป็นของรัฐ บกพร่องหลักการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย
ต่อมา กพร. ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษา จัดทำโครงการศึกษาวิเคราะห์ความเหมาะสมในการพัฒนาและยกร่างกฎหมายว่าด้วยแร่ โดยจัดเวทีระดมความคิดเห็น 3 ครั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ ต้นปี 2555 จากนั้น คณะผู้ศึกษาวิจัยจะดำเนินการจัดทำร่างขึ้นมาใหม่ แล้วจะนำไปรับฟังความคิดเห็น 4 ครั้งครอบคลุม 4 ภาค ซึ่งขณะนี้คณะผู้ศึกษาวิจัยฯ และ กพร. ได้จัดทำร่างเสร็จแล้ว ซึ่งเวทีที่โรงแรมสยามรอยัลซิตี้เวทีแรก โดยภายหลังการจัดเวทีครบ 4 ภาคก็จะนำร่างฯ ที่อาจจะปรับเปลี่ยนแก้ไขหรือไม่ก็ตามเสนอ ครม.อนุมัติเพื่อเข้าสภาพิจารณาต่อไป
นายเลิศศักดิ์ ระบุว่าร่างกฎหมายแร่ฉบับใหม่นี้ มีสาระสำคัญคือต้องการเข้าไปเอาแร่ในเขตพื้นที่ป่าไม้ทั้งที่มีกฎหมายเฉพาะหรือไม่เฉพาะในเรื่องห้ามการเข้าใช้ประโยชน์ใด ๆออกมาให้เอกชนประมูลเพื่อการสำรวจและทำเหมืองแร่ได้ ซึ่งปรากฎในมาตรา 80–82 ของร่างฯ นี้
โดยมาตรา 80 เพื่อประโยชน์แก่การบริหารจัดการแร่ด้านเศรษฐกิจของประเทศและการได้มาซึ่งทรัพยากรแร่อันมีค่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยคำแนะนำของคณะกรรมการ และโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดพื้นที่ใดให้เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองได้เป็นอันดับแรกก่อนการสงวนหวงห้ามหรือใช้ประโยชน์อย่างอื่นในพื้นที่นั้น โดยพื้นที่ที่จะกำหนดให้เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองแร่ได้ต้องเป็นพื้นที่ดังต่อไปนี้ (1) มีแหล่งแร่อุดมสมบูรณ์และมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง (2) มิใช่พื้นที่ตามกฎหมายเฉพาะเรื่องห้ามการเข้าประโยชน์ใดๆ โดยเด็ดขาด รวมถึงพื้นที่ตามกฎหมายว่าด้วยเขตปลอดภัยและความมั่นคงแห่งชาติ
“มาตรา 80 กำหนดให้แร่ที่อยู่ในพื้นที่ป่าไม้เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองได้ ซึ่งในร่างฯใหม่ตัดคำว่า “ที่มิใช่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม” ออกไปจาก พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510 ฉบับที่ใช้ในปัจจุบัน เท่ากับว่าไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดก็ตามในพื้นที่ป่าไม้ถึงแม้จะเป็นแหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึมก็สามารถประกาศเป็นเขตแหล่งแร่เพื่อทำเหมืองได้ ซี่งใน มาตรา 81 หลังจากประกาศเขตแหล่งแร่ตามมาตรา 81 แล้วก็จะทำการประกาศให้เอกชนมาประมูลเพื่อขอสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ต่อไปได้” นายเลิศศักดิ์ กล่าว
นายเลิศศักดิ์ กล่าวอีกว่ามาตรา 82 ยังเปิดโอกาสให้เอกชนที่ชนะการประมูลสำรวจและทำเหมือง ไม่ต้องขออนุญาตหรือสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ (อาชญาบัตรและประทานบัตร) ตามกฎหมายแร่ ก็หมายรวมว่าไม่ต้องทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม หรือรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรคสอง เพราะมาตรา 81 เปิดโอกาสให้รัฐและเอกชนทำสัญญาต่างตอบแทนกัน จนเป็นเหตุจูงใจให้รัฐสามารถออกประกาศกระทรวงกำหนดให้แร่บางชนิด/ประเภท และการทำเหมืองบางขนาดไม่ต้องขออนุญาตสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ได้ ขึ้นอยู่กับคนออกประกาศกระทรวงคือรัฐมนตรี โดยคำแนะนำของคณะกรรมการแร่ ที่สัดส่วนส่วนใหญ่เป็นข้าราชการเกือบทั้งหมด
“กฎหมายแร่ปัจจุบัน การเข้าไปขอสัมปทานแร่ในเขตพื้นที่ป่าไม้ หากพื้นที่ป่าอยู่ในชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้น 1เอหรือบี บางภาค เช่น ภาคเหนือห้ามนำพื้นที่ดังกล่าวมาใช้ประโยชน์หรือทำกิจกรรมใดๆ บางภาคก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ แต่ต้องผ่านความเห็นชอบจาก ครม.เป็นราย ๆไป ซึ่งจะทำให้มีขั้นตอนและระยะเวลาเพิ่มเติมจากคำขอสัมปทานสำรวจหรือทำเหมืองแร่ปกติ แต่มาตรา 82 ในร่าง พ.ร.บ.ใหม่สามารถนำแร่ในพื้นที่ป่าไม้ที่อยู่ในชั้นคุณภาพลุ่มน้ำที่หวงห้ามไว้ออกมาให้สัมปทานได้โดยไม่ต้องผ่านมติ ครม. อีกต่อไป และสามารถเปลี่ยนแปลงมติ ครม. เดิมที่เคยระบุไว้ว่าพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำหวงห้ามบางภาคที่มิให้ใช้ประโยชน์หรือทำกิจกรรมใด สามารถขอสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ได้” นายเลิศศักดิ์ กล่าว