- Home
- Community
- กระแสชุมชน
- ทรัพยากร-สิ่งแวดล้อม
- นักวิชาการชี้ “แบบจำลองคดีโลกร้อน” ไร้คุณภาพ –จ่อยื่นศาลปค. เพิกถอน 28 พ.ค. นี้
นักวิชาการชี้ “แบบจำลองคดีโลกร้อน” ไร้คุณภาพ –จ่อยื่นศาลปค. เพิกถอน 28 พ.ค. นี้
นักวิชาการประเมินงานวิจัย “แบบจำลองคดีโลกร้อน” หลักฐานฟ้องแพ่งชาวบ้านบุกรุกป่าขาดคุณภาพ “ที่ปรึกษารีคอฟ” ชี้โลกร้อนเกิดจากใช้ประโยชน์ดินพร่ำเพรื่อ “นักเศรษฐศาสตร์” แนะอุทยานฯ เก็บค่าคาร์บอนฯ สูงเท่าอียูไม่เหมาะ เตรียมยื่นศาลปกครองเพิกถอน 28 พ.ค.55
จากการเรียกร้องให้แก้ไขปัญหากรณีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) และกรมป่าไม้นำแบบจำลองการคิดค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อมมาดำเนินการฟ้องร้องกับเกษตรกรและชุมชนที่มีพื้นที่พิพาททับซ้อนเขตป่ากว่า 2,000 ราย
ล่าสุดวันที่ 23 พ.ค. 55 เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย (คปท.) ร่วมกับกลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน สถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม และคณะทำงานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย (คดีโลกร้อน) สภาทนายความ จัดเสวนา “แบบจำลองความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมของคดีโลกร้อน” ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
ดร.สมศักดิ์ สุขวงศ์ ที่ปรึกษาศูนย์ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (รีคอฟ) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การสร้างแบบจำลองคณิตศาสตร์สำหรับประเมินค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อมบางประการภายหลังทำลายป่าไม้ หรือแบบจำลองคดีโลกร้อนที่นักวิชาการกรมอุทยานฯได้พัฒนาขึ้นใช้หลักการคิดวิทยาศาสตร์ที่แย่ เพราะใช้กลั่นแกล้งเรียกค่าเสียหายจากประชาชนที่ทำมาหากินอย่างสุจริต ดังเช่นการตั้งกฎเกณฑ์การทำให้ธาตุในดินสูญหาย ซึ่งใช้หลักการคิดค่าใช้จ่ายในการซื้อแม่ปุ๋ยไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมขึ้นไปโปรยแทน รวมถึงการสูญเสียความชื้นในดิน ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อนนั้น
ความจริงคือ ปัจจัยที่ทำให้ผืนดินเกิดการกัดเซาะจนหน้าดินเสียหายมิใช่มาจากต้นไม้ที่ปกคลุมดิน หากแต่มาจากการใช้ประโยชน์ผืนดินภายหลังจากตัดโค่นต่างหาก ฉะนั้นเห็นว่าการที่กรมอุทยานฯ และหน่วยงานภาครัฐบอกว่าการถางป่าเป็นการเพิ่มอุณหภูมิโลก จึงจำเป็นต้องเรียกค่าเสียหายใช้ไม่ได้ เพราะเป็นแบบจำลองที่ไม่สมบูรณ์
“การทำลายหน้าดินคือการปล่อยทิ้งร้างให้ผืนดินเตียนโล่งโดยขาดการปลูกพืชคลุมดิน ส่วนการถูกกัดเซาะหน้าดินกลับเป็นสิ่งมีประโยชน์ต่อระบบนิเวศ เพราะจะมีธาตุอาหารมากมายหล่อเลี้ยงชีวิตในป่าและลุ่มน้ำ”
ขณะที่การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลก ดร.สมศักดิ์ กล่าวว่า อุณหภูมิในผืนป่าเตียนโล่งและดงดิบย่อมมีความแตกต่างกันธรรมดาขึ้นอยู่กับสภาพป่า หากเรานำข้อมูลอุณหภูมิในอดีตและปัจจุบันมาเปรียบเทียบจะเห็นว่าไม่มีความแตกต่างมากนัก
ด้านรศ.ดร.ชยันต์ ตันติวัสดาการ คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การเรียกเก็บค่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์จากการทำกิจกรรมทางสิ่งแวดล้อมที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน โดยอ้างอิงจากราคาของสหภาพยุโรป (อียู) ราคา 793 บาท/ตัน เป็นการเรียกเก็บที่สูงเกินไป ทั้งที่ควรคิดค่าเสียหายจากต้นทุนที่ต่ำสุดของพื้นที่นั้น ๆ จะเหมาะสมมากกว่า จึงส่งผลให้ผลงานวิจัยดังกล่าวไม่สามารถบังคับใช้ได้
ขณะที่นางกันยา ปันกิติ สมาชิกเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด เปิดเผยว่า การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายคดีโลกร้อนกับชาวบ้านที่ไร้ที่ดินทำกินนั้นไม่เป็นธรรม ทั้งที่หลายคนอยู่อาศัยในพื้นที่ที่กรมอุทยานฯ ประกาศทับซ้อน เเม้จะไม่มีเอกสารสิทธิถือครองที่ดินก็ตาม เเต่โดยพฤตินัยเเล้วชาวบ้านล้วนอยู่อาศัยดั้งเดิมทั้งสิ้น จึงเรียกร้องให้มีการทบทวนเพิกถอนการใช้เเบบจำลองดังกล่าวในการเรียกค่าเสียหาย เพราะมั่นใจว่าคนไม่ได้บุกรุกป่าเเน่นอน
นายกฤษดา ขุนณรงค์ ทนายความอาสาจากเครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ได้รับการฟ้องร้องให้จ่ายค่าเสียหายก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนจากการทำลายป่าทั่วประเทศกว่า 2,000 ราย ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าแก้ไขปัญหาภายหลังเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนตามองค์กรต่าง ๆ อย่างไรก็ตามเครือข่ายฯ จะยื่นหนังสือเรียกร้องต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีให้เร่งรัดแก้ไขปัญหาข้อพิพาทดังกล่าวจริงจัง และฟ้องต่อศาลปกครองให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ กรมป่าไม้ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพิกถอนคำสั่งการใช้แบบจำลองดังกล่าวในวันที่ 28 พ.ค. 55
ทั้งนี้จากข้อมูลผลการประเมินรายงานวิจัยแบบจำลองเพื่อประเมินมูลค่าป่าต้นน้ำ และแบบจำลองมูลค่าระบบนิเวศป่าไม้ของกรมอุทยานฯ ซึ่งเป็นหลักฐานในการฟ้องร้องดำเนินคดีทางแพ่งกับประชาชนในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยการให้ความคิดเห็นทางวิชาการอย่างอิสระด้านวิทยาศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ 16 คน เพราะรายงานวิจัยดังกล่าวยังไม่เคยผ่านการตรวจสอบความถูกต้องทางวิชาการจากนักวิชาการที่เกี่ยวข้องเลย ระบุ 1.คุณภาพของงานวิจัยอยู่ในระดับไม่น่าพอใจ 2.รายงานวิจัยยังไม่เหมาะสมมีข้อต้องปรับปรุงหลายประการ และ3. นักวิชาการเกือบทั้งหมดสรุปว่า ผลการประเมินโดยรวมแล้วผลงานวิจัยอยู่ในเกณฑ์ไม่ดี โดยมีนักวิชาการ 2 ท่านประเมินว่าอยู่ในเกณฑ์พอใช้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การคิดค่าเสียหายจากการบุกรุกพื้นที่ป่าของอุทยานแห่งชาติฯ คิดตามสัดส่วนรายปีตามม. 97 พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ดังนี้ 1.ค่าเสียหายทำให้อากาศร้อนมากขิ้น 45,453.45 บ./ไร่ 2.ค่าเสียหายทำให้สูญเสียน้ำออกจากพื้นที่โดยเผาไหม้ของรังสีดวงอาทิตย์ 52,800 บ./ไร่ 3.ค่าเสียหายทำให้ฝนตกน้อย 5,400 บ./ไร่ 4.ค่าเสียหายทำให้ดินสูญเสีย 1,800 บ./ไร่ 5.ค่าเสียหายการสูญเสียของธาตุอาหาร 4,064 บ./ไร่ 6.ค่าเสียหายทำให้ดินไม่ดูดซับน้ำฝน 600 บ./ไร่ และ7. 7.ค่าเสียหายทางตรงจากการทำลายป่า ได้แก่ ป่าดงดิบ 61,263.36 บ./ไร่ ป่าเบญจพรรณ 42,577.75 บ./ไร่ ป่าเต็งรัง 18,634.19 บ./ไร่ รวมค่าเสียหายไร่ละ 1.5 แสนบาท/ไร่/ปี.