logo isranews

logo small 2

ไม่ใช่แค่“ทักษิณ”! “ปู-บุญทรง-ภูมิ-มนัส”ต้องโดนเรียกคืนเครื่องราชฯด้วย

กางระเบียบสำนักนายกฯเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ไม่ใช่แค่ “ทักษิณ” แต่ “ยิ่งลักษณ์-บุญทรง-ภูมิ-มนัส” เข้าข่ายโดนด้วย! เหตุถูก ป.ป.ช. ชี้มูลผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ-จงใจใช้อำนาจขัดต่อ รธน. สนช. ถอดถอนเรียบ-ศาลฎีกาฯรับฟ้องอาญาแล้ว

PIC dfderriitt 31 5 58 1

เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี จะต้องถูก “เรียกคืน” เครื่องราชอิสริยาภรณ์ !

เนื่องจากกระทำความผิดเข้าข่ายระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ.2548 ซึ่งตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (8) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534

ในข้อที่ 2, 3 ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า เป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และเป็นผู้ต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ หรือเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

(อ่านประกอบ : ต้องลงโทษคนที่ไม่ยอมเสนอถอดยศ-เรียกคืนเครื่องราชฯ”ทักษิณ”)

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่แค่ “พ.ต.ท.ทักษิณ” เท่านั้น แต่ยังมีคนในอดีต “รัฐบาลเก่า” ต้องถูกเรียกคืนเครื่องราชฯด้วยอย่างน้อย 4 รายด้วยกัน !

นั่นคือ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกฯ “บุญทรง เตริยาภิรมย์” อดีต รมว.พาณิชย์ “ภูมิ สาระผล” อดีต รมช.พาณิชย์ และ “มนัส สร้อยพลอย” อดีตอธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศ

4 รายนี้เข้าข่ายอย่างไร สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org กางระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชฯ ให้เห็นกันชัด ๆ ดังนี้

ประการแรก ระเบียบดังกล่าว กำหนดเหตุแห่งการเรียกคืนเครื่องราชฯ ไว้ ทั้งหมด 8 ข้อด้วยกัน ซึ่งมีข้อหนึ่งที่เข้าเหตุ “ยิ่งลักษณ์-บุญทรง-ภูมิ-มนัส” ได้แก่

ข้อที่ 6 ระบุว่า เป็นผู้ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่เพราะมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย

ประการที่สอง ทั้ง “ยิ่งลักษณ์-บุญทรง-ภูมิ-มนัส” ต่างถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด ทั้งในทางถอดถอน และคดีอาญา แบ่งเป็น

หนึ่ง “ยิ่งลักษณ์” กรณีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว

ป.ป.ช. เห็นว่า มีพฤติการณ์เป็นการส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 178 และส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ มาตรา 11 (1) อันเป็นเหตุแห่งการถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 270 ซึ่งมีมูลเพียงพอที่จะดำเนินการส่งให้วุฒิสภาดำเนินการถอดถอนต่อไปได้

ต่อมาที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ปฏิบัติหน้าที่แทนวุฒิสภา ได้ดำเนินการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยมีมติเสียงข้างมาก 190 เสียง ให้ถอดถอน ซึ่งคะแนนเกินกว่า 3 ใน 5 ของ สนช. ทั้งหมด 220 ราย ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง และถูกเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี

(อ่านประกอบ : มติ 7-0 เสียง ป.ป.ช.ฟัน“ยิ่งลักษณ์”คดีจำนำข้าว ชงวุฒิถอด-"สถาพร"ถอนตัวอวสาน"ยิ่งลักษณ์" มติสนช. 190:18 ตัดสิทธิ์การเมือง 5 ปี "นิคม-สมศักดิ์" รอด)

ส่วนในทางอาญา มีมูลความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ฐานเป็นเจ้าหน้าทีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ จึงส่งรายงาน และสำนวนให้อัยการสูงสุด (อสส.) ส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้รับพิจารณาคดีนัดแรกไปแล้ว เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา และได้นัดตรวจพยานหลักฐานนัดแรกในวันที่ 21 และ 28 ก.ค. 2558

(อ่านประกอบ : ป.ป.ช.มติ 7:0 ฟันอาญา"ยิ่งลักษณ์" คดีทุจริตจำนำข้าว-ขาดทุนยับ5แสนล.“ปู”ยื่นเงินฝาก 30 ล.ประกันตัว-ใช้พยาน 20 ปากสู้คดีจำนำข้าว)

สอง “บุญทรง-ภูมิ-มนัส” กรณีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยมิชอบ

ป.ป.ช. เห็นว่า ร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 พร้อมกับส่งรายงานและสำนวนการไต่สวนให้แก่อัยการสูงสุด (อสส.) และส่งให้วุฒิสภาดำเนินการถอดถอน

ต่อมาที่ประชุม สนช. ปฏิบัติหน้าที่แทนวุฒิสภา ได้ดำเนินการถอดถอน นายบุญทรง นายภูมิ และนายมนัส โดยมีมติเสียงข้างมาก 182 เสียง 180 เสียง และ 158 เสียง ตามลำดับ ซึ่งคะแนนเกินกว่า 3 ใน 5 ของ สนช. ทั้งหมด 220 ราย ทำให้ทั้งหมดถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง และถูกเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี

(อ่านประกอบ : ป.ป.ช.เชือดล็อตแรกคดีข้าวจีทูจี"บุญทรง-ภูมิ"ไม่รอด-ฟ้องแพ่ง 6 แสนล้าน“บุญทรง-ภูมิ-มนัส”ไม่รอด! มติ สนช. ท่วมท้นถอดถอน-ตัดสิทธิ์การเมือง5ปี)

ส่วนในทางอาญา กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 เช่นกัน จึงส่งรายงาน และสำนวนให้ อสส. ฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดพิจารณาคดีนัดแรกไปแล้ว เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมา

(อ่านประกอบ : อัยการยื่นฟ้อง"บุญทรง-พวก"คดีจีทูจีแล้ว โทษสูงสุดคุกตลอดชีวิต-ปรับ3.5หมื่นล.)

จึงเห็นได้ชัดว่า “ยิ่งลักษณ์-บุญทรง-ภูมิ-มนัส” ต่างเข้าข่ายที่จะต้องถูกเรียกคืนเครื่องราชฯ ทั้งสิ้น !

สำหรับเครื่องราชฯของ “ยิ่งลักษณ์” ที่จะต้องถูกเรียกคืน ได้แก่

1.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)
2.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
3.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
4.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นเบญจมาภรณ์ช้างเผือก (บ.ช.)
5.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นเบญจมาภรณ์มงกุฎไทย (บ.ม.
6.เหรียญลูกเสือสดุดี ชั้นที่ 1

ของ “บุญทรง” ได้แก่
1.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฏ (ม.ว.ม.)
2.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้น มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)

ของ “ภูมิ” ได้แก่

1.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)
2.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)

ดังนั้น ลำดับต่อไปของ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือต้องพิจารณาเรียกคืนเครื่องราชฯจาก “ยิ่งลักษณ์-บุญทรง-ภูมิ-มนัส” หรือแม้แต่ “วัฒนา อัศวเหม-ประชา มาลีนนท์” ที่เข้าข่ายถูกเรียกคืนเครื่องราชฯด้วย

ไม่ใช่ยึดติดกับแค่ “พ.ต.ท.ทักษิณ” เพียงคนเดียว

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อครหา “สองมาตรฐาน” ขึ้นมาได้อีก !