แม่ทัพภาค 4 สั่งรื้อทุกคดีคาใจชายแดนใต้ หวัง "คืนความเป็นธรรม" ดับไฟความไม่สงบ
"อุดมชัย" เปิดแนวรุกระลอกใหม่ สั่งรื้อคดีคาใจชายแดนใต้ จับมือศาล-อัยการ-ตำรวจ-ทนายมุสลิม หวังคืนความเป็นธรรมให้พี่น้องในพื้นที่ ดับไฟความไม่สงบอย่างยั่งยืน ระบุ "ความอยุติธรรม" เป็นหัวใจของปัญหา กดดันเยาวชนแห่ไปเป็น "นักรบอาร์เคเค" เข้าสู่วังวนหลอกลวงของแกนนำขบวนการที่ล้วนพัวพันธุรกิจผิดกฎหมาย แต่ใช้ "เอกราช-ศาสนา" เป็นข้ออ้างสร้างแนวร่วม เตรียมพบปะผู้นำมุสลิมเสาร์นี้ ประกาศนโยบาย "แยกโจรออกจากศาสนา"
แหล่งข่าวจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) เปิดเผย "ทีมข่าวอิศรา" ว่า ขณะนี้ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.รมน.ภาค 4 กำลังดำเนินนโยบายใหม่เพื่อขจัดเงื่อนไขที่นำไปสู่การสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรียกว่านโยบาย “คืนความเป็นธรรม” ให้กับพี่น้องประชาชน
“นโยบายนี้มาจากการวิเคราะห์ปัญหาของเรา ภายหลังสถานการณ์ยืดเยื้อยาวนานกว่า 7 ปี สรุปได้ว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของพี่น้องในพื้นที่คือปัญหาความไม่เป็นธรรมจากคดีความต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ฉะนั้นการแก้ไขปัญหาต้องเริ่มจากจุดนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เยาวชนในพื้นที่หลั่งไหลไปเป็นแนวร่วมของกลุ่มขบวนการก่อความไม่สงบ”
แหล่งข่าว กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมามีคดีความเกิดขึ้นมากมาย และมีจำนวนไม่น้อยที่ยังคาใจพี่น้องประชาชนอยู่ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ฉะนั้นแม่ทัพภาคที่ 4 จึงสั่งการให้ตรวจสอบคดีเหล่านี้ย้อนหลังกลับไปทั้งหมด โดยเฉพาะคดีสำคัญๆ ที่ส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง เช่น คดีไอร์ปาแย (กราดยิงในมัสยิดอัลฟุรกอน บ้านไอร์ปาแย ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.2552 ปัจจุบันยังจับผู้ต้องหาไม่ได้) หรือคดีนายสุไลมาน แนซา (พบเป็นศพมีผ้าผูกคอติดกับลูกกรงเหล็กดัดห้องควบคุมตัวภายในศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 30 พ.ค.2553) เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อนำคดีเหล่านั้นมาสะสางตรวจสอบว่าปัญหาอยู่ตรงไหน เหตุใดจึงไม่คืบหน้า และทำไมพี่น้องประชาชนที่เกี่ยวข้องหรือเป็นครอบครัวของผู้เสียชีวิตจึงยังรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม จากนั้นก็แก้ไขไปตามกลไกกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
“ที่ผ่านมาแม่ทัพได้เข้าพบและหารือกับอธิบดีอัยการภาค 9 ผู้บัญชาการตำรวจในพื้นที่ และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อรับฟังความคิดเห็นและกำหนดแนวทางการทำงานร่วมกัน และล่าสุดยังได้เชิญมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม รวมทั้งประธานศูนย์ทนายความมุสลิมทั้งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาพูดคุยเพื่อแสวงหาความร่วมมือด้วย จะได้ทำงานร่วมกันเพื่อสะสางคดีทั้งหมด และคืนความเป็นธรรมให้กับพี่น้องประชาชน”
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า เป้าหมายคืนความเป็นธรรมตามนโยบายของแม่ทัพภาคที่ 4 นี้ ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องคดีความมั่นคงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพี่น้องประชาชนอีก 3 กลุ่มที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับคดีความมั่นคงอีกด้วย ได้แก่
1.จำเลยหรือผู้ต้องหาคดีความมั่นคงที่ไม่ได้รับการประกันตัว กลุ่มนี้ทาง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าจะร่วมมือกับกระทรวงยุติธรรม และมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมเพื่อช่วยเหลือเรื่องการประกันตัว หรือปล่อยชั่วคราว
2.กลุ่มญาติผู้สูญเสียจากสถานการณ์ความไม่สงบที่รู้สึกว่ายังไม่ได้รับความเป็นธรรม กลุ่มนี้ทางกองทัพจะเข้าไปพูดคุยและช่วยเหลือเรื่องเยียวยา รวมทั้งด้านอื่นๆ หากมีความต้องการ เช่น ฝึกอาชีพ โดยกลุ่มเป้าหมายจะรวมถึงญาติของจำเลยหรือผู้ต้องหาคดีความมั่นคงที่ไม่ได้รับการประกันตัว หรืออยู่ระหว่างหลบหนีด้วย
3.กลุ่มอาร์เคเค หรือเยาวชนและชายฉกรรจ์ที่เข้ารับการฝึกเป็นหน่วยรบขนาดเล็กแบบจรยุทธ์ ซึ่งปฏิบัติการก่อความรุนแรงรูปแบบต่างๆ อยู่ในปัจจุบัน และบางส่วนหลบหนีกบดานอยู่ตามป่าเขา กลุ่มนี้จะใช้นโยบาย “พาคนกลับบ้าน” ของแม่ทัพ ด้วยการทำความเข้าใจกับครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหาย ให้ชักชวนคนเหล่านี้เข้ามามอบตัว หากเคยกระทำความผิดก็ให้ต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม แต่หากเป็นแค่ผู้หลงผิดหรือถูกชักจูง ก็ให้ส่งเข้ารับการฝึกอบรมหรือพูดคุยทำความเข้าใจ
“กลุ่มอาร์เคเคไม่ใช่โจรผู้ร้าย เราคิดว่าพวกเขาเป็นผู้หลงผิด จึงน่าจะสามารถปรับเปลี่ยนความคิดความเข้าใจกันได้ จากการทำงานของหน่วยงานความมั่นคงที่ผ่านมา ทั้งข้อมูลด้านการข่าวและข้อมูลที่ได้จากการจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้เป็นจำนวนมาก หลายคนยอมรับสารภาพและเล่าให้ฟังถึงการทำงานของขบวนการ เราพบว่าเรื่องการต่อสู้เพื่อเอกราชและตั้งรัฐใหม่ไม่ใช่ความจริง เป็นเพียงเครื่องมือของกลุ่มที่อยู่ระดับบนของขบวนการใช้หลอกลวงกลุ่มเยาวชนให้เข้ามาทำงานให้เขาเท่านั้น”
“ข้อมูลที่เราได้มาจนถึงปัจจุบัน ชัดเจนว่าบรรดาแกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบระดับสั่งการล้วนพัวพันกับธุรกิจผิดกฎหมาย ค้ายาเสพติด ค้าของเถื่อน แล้วใช้กลุ่มเยาวชนเหล่านี้สร้างสถานการณ์เพื่อผลประโยชน์ของพวกตัวเอง ซึ่งอาร์เคเคจำนวนหนึ่งก็รู้ แต่ติดเงื่อนไขทางศาสนาที่บรรดาแกนนำผูกไว้อีกชั้นหนึ่ง ทำให้คนเหล่านี้เชื่อว่าเป็นการต่อสู้เพื่อเอกราช สู้แล้วได้บุญ จึงอยู่ร่วมกับขบวนการต่อไป ประกอบกับบางครั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ทำผิดพลาด หรือเกิดเรื่องราวที่ทำให้รู้ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ยิ่งกลายเป็นแรงบวกให้เยาวชนไหลไปร่วมกับขบวนการมากขึ้น”
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า เมื่อสถานการณ์ที่แท้จริงในพื้นที่เป็นเช่นนี้ นโยบาย “คืนความเป็นธรรม” จึงจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเพื่อลดเงื่อนไขเก่าและไม่สร้างเงื่อนไขใหม่ เพื่อตัดวงจรการเข้าร่วมขบวนการของบรรดาเยาวชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยแม่ทัพภาคที่ 4 จะดำเนินการควบคู่ไปกับนโยบาย “แยกโจรออกจากศาสนา” ด้วยการทำความเข้าใจกับผู้นำศาสนาให้เห็นภาพที่แท้จริงของปัญหา และร่วมมือกันดึงเยาวชนออกจากวงจรดังกล่าวนี้ให้ได้
“วันเสาร์ที่ 23 ก.ค. แม่ทัพภาคที่ 4 จะพบปะกับผู้นำศาสนากลุ่มใหญ่ในพื้นที่จำนวนหลายร้อยคนที่มัสยิดอาซิซสถาน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ซึ่งในวันนั้นแม่ทัพจะประกาศนโยบายเรื่องนี้ และสร้างความเข้าใจกับผู้นำศาสนาทั้งหมด เพื่อร่วมกันทำงานแก้ไขปัญหาตามนโยบายที่วางไว้ต่อไป” แหล่งข่าวระดับสูงจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ระบุ
ผบ.ทบ.โยนรัฐบาลใหม่ตัดสินนโยบายดับไฟใต้
ด้านความเคลื่อนไหวในพื้นที่ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 ก.ค.2554 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อติดตามความคืบหน้าของการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาความไม่สงบ โดยได้ประชุมร่วมกับแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้บัญชาการกองกำลังในพื้นที่ และผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 3 จังหวัด ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี
พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ที่กรุงเทพฯก่อนเดินทางลงพื้นที่ว่า สถานการณ์ขณะนี้ยังมีเหตุการณ์ความไม่สงบเพราะยังมีผู้ก่อความรุนแรงอยู่ ถึงแม้ว่าฝ่ายความมั่นคงจะจับกุมได้เป็นจำนวนมากก็ตาม แต่ยังไม่สามารถปรับแนวคิดของคนเหล่านี้ได้ หรือแม้จะจับกุมมาดำเนินคดีได้ แต่ก็ยังมีคนหาโอกาสในการก่อเหตุต่อไป
อย่างไรก็ตาม ได้สั่งให้ปรับเปลี่ยนเรื่องการใช้กำลังเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยสิ่งที่มีปัญหาคือผู้ก่อความรุนแรงไม่คำนึงถึงกฎหมาย กติกา แต่ใช้ความรุนแรงเป็นหลัก
ส่วนที่กำลังพลถูกลอบวางระเบิดและมีความสูญเสียจำนวนมากในระยะหลังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ได้เตือนไป ทหารได้รับการสอนกันมาในเรื่องนี้ คือถ้ามีลูกที่ 1 ก็ต้องมีลูกที่ 2 และ 3 ฝ่ายตรงข้ามมีความคิดริเริ่มตลอดเวลา จึงต้องไปแก้กันว่าวัตถุระเบิดได้มาอย่างไร มีการลักลอบจากภายในหรือภายนอก การขอความร่วมมือจากเพื่อนบ้านได้ทำกันมาโดยตลอด ถ้าไม่ทำก็คงมีมากกว่านี้
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ (พรรคเพื่อไทย) มีแนวคิดจัดตั้งเขตปกครองท้องถิ่นแบบพิเศษ หรือ "นครปัตตานี" นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า กำลังหารือกันอยู่ ซึ่งในส่วนของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ต้องเตรียมการ แต่อย่าเพิ่งไปวางว่าใครจะทำอะไรอย่างไร ท้ายสุดก็ต้องเคารพในรัฐบาลใหม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร
ในส่วนของทหารโดย กอ.รมน.ก็ต้องเตรียมข้อมูลไว้ชี้แจงให้รับทราบว่าอะไรเป็นอย่างไร เพราะบางครั้งการตัดสินใจที่จะทำอะไร บางอย่างอาจใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ ฉะนั้นการจะบอกว่าทำหรือไม่ทำอาจจะเร็วเกินไป คงต้องพูดกันด้วยเหตุด้วยผล และคิดว่าต่างฝ่ายก็คงมีเหตุผลเป็นของตัวเอง ฝ่ายความมั่นคงก็มีเหตุผลอีกอย่าง อีกฝ่ายก็จะมีอีกอย่าง รวมถึงนักวิชาการด้วย แต่สุดท้ายแล้วรัฐบาลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบและเป็นผู้ที่สั่งการตัดสินใจ ทั้งหมด และคงต้องเป็นไปตามคำสั่งของรัฐบาล
ส่วนกรณีที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) อาจถูกยกเลิกนั้น ผบ.ทบ. กล่าวว่า จะอยู่หรือไม่เป็นเรื่องของวันข้างหน้า ทุกอย่างสามารถปรับเปลี่ยนได้โดยรัฐบาลเป็นผู้สั่งการ ฝ่ายประจำก็ทำงานให้ดีที่สุด และคงต้องมีอะไรมาทดแทน
ที่ศาลาสวดพระอภิธรรม 2 วัดพุทธภูมิ (พระอารามหลวง) เขตเทศบาลนครยะลา อ.เมือง จ.ยะลา พล.ต.เบญจรงค์ เจริญพร รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เป็นประธานในพิธีรดน้ำศพ จ.ส.อ.สาโรฒน์ ศรีธิ อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 222/102 หมู่ 13 ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ทหารสังกัดหน่วยเฉพาะกิจยะลา 15 ที่เสียชีวิตจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดมอเตอร์ไซค์บอมบ์ถล่มรถบรรทุกหกล้อของทหารที่บริเวณหน้าโรงเรียนบ้านเตาปูน หมู่ 3 บ้านเงาะกาโป ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา โดย จ.ส.อ.สาโรฒน์ ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา โดยบรรยากาศในพิธีรดน้ำศพเป็นไปอย่างเศร้าสลด
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4
2 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ขณะลงจากเฮลิคอปเตอร์เข้าประชุมกับผู้บัญชาการกองกำลังที่ค่ายสิรินธร
ขอบคุณ :
- ภาพ พล.ท.อุดมชัย จาก www.udomchai.com
- คุณปัญญา ทิ้วสังวาลย์ ผู้สื่อข่าวสายทหารเครือเนชั่น เอื้อเฟื้อข่าว พล.อ.ประยุทธ์