ยุบศูนย์ควบคุมตัวค่ายบ่อทอง เหตุตกเป็นเป้าโจมตี ศิษย์เก่าเสียดาย-พ่อสุไลมานปลง
สั่งยุบ "ศููนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์" ซึ่งเป็นศูนย์ซักถามและควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยใหญ่ที่สุดของทหารที่่ค่ายอิงคยุทธฯแล้ว เหตุตกเป็นเป้าโจมตี ผอ.ศูนย์ฯเผยแปรสภาพเป็น "แผนกซักถาม" ลดกำลังพลจาก 98 นาย เหลือแค่ 18 คน ผู้ต้องสงสัยรายสุดท้ายคือ "นิเซ๊ะ นิฮะ" โอนภารกิจไปให้ "ศูนย์พิทักษ์สันติ" ของตำรวจรับผิดชอบแทน ด้านศิษย์เก่า ศสฉ.เผยรู้สึกเสียดาย เพราะเจ้าหน้าที่ใจดี กลัวศูนย์ของตำรวจไม่ผ่อนคลายแบบนี้ ขณะที่ "พ่อสุไลมาน" เฉยๆ บอกปลงนานแล้ว เปิดปูม 5 ปีศูนย์ซักถามกับกระแสข่าวฉาวละเมิดสิทธิ์ต่อเนื่อง
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ได้มีคำสั่งแปรสภาพศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ (ศสฉ.) ซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมตัวและซักถามของฝ่ายทหาร ตั้งอยู่ภายในค่ายอิงคยุทธบริหาร (ค่ายบ่อทอง) อ.หนองจิก จ.ปัตตานีแล้ว โดยศูนย์แห่งนี้แม้จะทำให้ฝ่ายทหารได้รับความสะดวกเพราะมีศูนย์ควบคุมที่เป็นส่วนกลาง แต่ก็เคยปรากฏข่าวฉาวหลายครั้ง โดยเฉพาะการเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัวของ นายสุไลมาน แนซา ผู้ต้องสงสัยคดีความมั่นคง ในลักษณะมีผ้าผูกคอติดกับลูกกรงห้องพัก เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2553 โดยเจ้าหน้าที่ชี้ว่านายสุไลมานผูกคอตายเอง แต่ครอบครัวของเขาไม่เชื่อ และมีคดีฟ้องร้องกันอยู่
พ.อ.ปิยะวัฒน์ นาควานิช ผู้อำนวยการ ศสฉ. กล่าวว่า ทางหน่วยเหนือมีคำสั่งตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2554 ให้แปรสภาพศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ ลดระดับโครงสร้างลงมาเป็น "แผนกซักถาม" โดยมีกำลังพลประจำแผนก 18 คน ซึ่งเดิม ศสฉ.มีกำลังพลปฏิบัติหน้าที่ทั้งหมดถึง 98 คน
"การทำงานหลังจากนี้ เราคงรับผิดชอบแค่ในส่วนของการซักถาม แต่เรื่องการควบคุมผู้ที่ถูกเชิญตัว คงต้องให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายตำรวจ" พ.อ.ปิยะวัฒน์ กล่าว
ยันทำงานมีประสิทธิภาพ-"นิเซ๊ะ นิฮะ"คือรายสุดท้าย
ผู้อำนวยการ ศสฉ.กล่าวต่อว่า ในส่วนของผู้ที่ถูกเชิญตัวและถูกควบคุมก่อนปรับโครงสร้างศูนย์ฯนั้น ทางศูนย์ฯได้ส่งกลับบ้านไปแล้วบางราย ขณะที่บางรายก็ส่งต่อไปยังศูนย์พิทักษ์สันติ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศูนย์ซักถามและควบคุมตัวของฝ่ายตำรวจ) ตั้งอยู่ในโรงเรียนตำรวจภูธร 9 อ.เมือง จ.ยะลา โดยผู้ถูกเชิญตัวรายสุดท้ายก่อนมีคำสั่งปรับโครงสร้าง ศสฉ.คือ นายนิเซ๊ะ นิฮะ อายุ 42 ปี ซึ่งขณะนี้ทางตำรวจปล่อยตัวเป็นอิสระแล้ว
เมื่อถามถึงสาเหตุของการปรับโครงสร้างศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์นั้น พ.อ.ปิยะวัฒน์ กล่าวว่า คงต้องให้ผู้ใหญ่เป็นคนตอบ เพราะตัวเขาเป็นเพียงผู้ปฏิบติ เมื่อมีคำสั่งลงมาก็ต้องปฏิบัติตาม แต่การทำงานของศูนย์ฯ ได้ดำเนินการมาอย่างเป็นระบบ มีการรวบรวมข้อมูลโครงสร้างของผู้ก่อเหตุรุนแรงเอาไว้ครบถ้วน โดยเฉพาะโครงสร้างกำลังรบของฝ่ายผู้ก่อเหตุทั้งหมด ทำให้การทำงานที่ผ่านมาค่อนข้างมีประสิทธิภาพเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยในระดับพื้นที่ได้ ส่งผลให้การติดตามจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุ รวมไปถึงการตรวจพิสูจน์หาตัวผู้กระทำผิดโดยใช้กระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์นำโดย แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ดำเนินไปอย่างมีแบบแผน มีการเชิญอัยการและผู้ที่เกี่ยวข้องด้านกฎหมายเข้ามาร่วมทำงานด้วย ทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างถูกต้อง สามารถดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิดได้ตามพยานหลักฐานทั้งหมด
ส่วนปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น พ.อ.ปิยะวัฒน์ กล่าวว่า ทาง ศสฉ.ได้เปิดกว้างให้องค์กรต่างๆ เข้าไปตรวจสอบได้ ทั้งองค์กรในประเทศและต่างประเทศจนเป็นที่ยอมรับขององค์กรที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ไม่เคยมีปัญหาใดๆ
แฉเหตุปรับโครงสร้างเพราะถูกโจมตีหนัก
แหล่งข่าวระดับสูงจาก กอ.รมน.ภาค 4 สน. เปิดเผยว่า สาเหตุที่แท้จริงของการยุบหรือปรับโครงสร้างศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ ก็คือแม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (ผอ.รมน.ภาค 4) เห็นว่าการมีศูนย์นี้ต่อไปจะเป็นจุดอ่อนให้บางฝ่ายโจมตีอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าฝ่ายความมั่นคงจะไม่เคยมีนโยบายให้กำลังพลละเมิดสิทธิมนุษยชนใคร และยังมีการปรับปรุงสภาพภายในศูนย์ฯให้ดีขึ้่นจนเกินระดับมาตรฐานก็ตาม ประกอบกับการมีศูนย์ซักถามของฝ่ายทหารเองถือเป็นความซ้ำซ้อนกับฝ่ายตำรวจ จึงสั่งการให้ปรับโครงสร้าง และมอบให้ฝ่ายตำรวจเป็นหลักในการซักถามและควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยต่อไป
อย่างไรก็ดี จากการที่ "ทีมข่าวอิศรา" ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ทหารจากหลายๆ หน่วย ปรากฏว่ากำลังพลจำนวนหนึ่งมีความเป็นห่วงและรู้สึกกังวลต่อการดำเนินการกับผู้ต้องสงสัยหรือผู้กระทำความผิดในคดีความมั่นคงที่ถูกจับกุมได้ เพราะที่ผ่านมาเกือบร้อยละ 90 เป็นการจับกุมโดยทหารจากหน่วยเฉพาะกิจต่างๆ ที่กระจายกำลังอยู่ในพื้นที่ และมีการส่งต่อให้ศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ซักถาม ซึ่งข้อมูลที่ได้ก็นำไปสู่การเข้าถึงโครงสร้างผู้ก่อความไม่สงบ แต่หากปล่อยให้หน่วยอื่นรับไปควบคุมตัวต่อ อาจมีปัญหาเรื่องการประสานข้อมูล จนกลายเป็นจุดอ่อนในการดำเนินคดีเมื่อเข้าสู่กระบวนการทางศาลได้ ซึ่งปัญหาลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นช่วงแรกๆ ของสถานการณ์ความไม่สงบซึ่งในขณะนั้นไม่มีศูนย์ควบคุมตัวของทหาร
ศิษย์เก่า ศสฉ.เสียดาย-ชี้เจ้าหน้าที่ใจดี
ด้านความรู้สึกของคนที่เคยถูกควบคุมตัวในศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ หนุ่มใหญ่จาก จ.ยะลา กล่าวว่า ทราบข่าวเรื่องการยุบ ศสฉ.แล้ว และได้พูดคุยกับพรรคพวกที่เคยถูกควบคุมตัวพร้อมกัน ทุกคนเห็นตรงกันว่าเป็นเรื่องดีที่ยุบเลิกศูนย์นี้ไปเสีย แต่ก็ยังกังวลเมื่อคิดถึงศูนย์ใหม่ที่ฝ่ายทหารจะส่งตัวผู้ต้องสงสัยไปควบคุมในศูนย์ของตำรวจ
"ผมคิดว่าต้องเกร็งและกดดันกว่าแน่นอน เพราะศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์นั้น ผมได้เข้าไปอยู่ประมาณ 7 วันเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ตลอดเวลาที่ถูกควบคุมตัวก็ไม่ได้รู้สึกเก็บกดหรือกดดันเลย เจ้าหน้าที่พูดจาเป็นกันเอง อาจมีพูดกูมึงบ้างตามประสาทหาร แต่ก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติ ดีออกจะได้รู้สึกเป็นกันเอง ไม่รู้สึกว่าอยู่ข้างในนั้นเป็นพื้นที่ที่ถูกแบ่งชนชั้น คือ เจ้าหน้าที่กับผู้ต้องสงสัย แต่รู้สึกเหมือนว่าเธอกับฉันมาอยู่ร่วมกันชั่วคราว เหมือนเราไปอยู่ปอเนาะอะไรแบบนี้"
หนุ่มใหญ่จากยะลารายนี้ บอกด้วยว่า เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ฯ มีมุขตลกให้ได้ขำ ลดความตึงเครียดจากการถูกควบคุมตัวได้มากทีเดียว รวมทั้งอนุญาตให้เดินไปเดินมา หรือแม้แต่ล้างรถได้ด้วย ซึ่งคิดว่าถ้าเป็นศูนย์ของตำรวจอาจจะไม่ผ่อนคลายแบบนี้ จึงรู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกัน
"สถานที่ต่างๆ ข้างใน เจ้าหน้าที่ก็จะเรียกแบบตลกๆ คลายเครียดได้ดีมาก เช่น เวลาจะไปห้องสอบสวน เจ้าหน้าที่จะใช้คำว่าพวกเราไปบิ๊กซีกัน (ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ใน อ.เมืองปัตตานี) ตอนแรกก็ดีใจนะ นึกว่าจะพาไปบิ๊กซีจริงๆ ที่ไหนได้พาเราไปห้องสอบสวน พอจะพาเรากลับที่ห้องพักก็ใช้คำว่ากลับรีสอร์ท ก็นึกว่าจะพาไปนอนที่ทะเล พอไปถึงก็พบว่าพาเรากลับห้องนั่นเอง สรุปว่าทั้ง 7 วันที่อยู่ในนั้นไม่ได้ทำให้เครียดอะไรเลย ทำให้คลายเครียดมากกว่า เจ้าหน้าที่ก็มีทั้งมุสลิมและไทยพุทธ เจ้าหน้าที่ไทยพุทธก็พยายามพูดอิสลาม ทำให้คำที่เขาพูดออกมายิ่งตลก ส่วนเจ้าหน้าที่มุสลิมจะเป็นฝ่ายบริการมากกว่า เอาข้าวเอาของมาให้ พอถามเจ้าหน้าที่มุสลิมที่ส่งข้าวว่าเขาซื้อหรือทำเอง เจ้าหน้าที่บอกว่าซื้อของชาวบ้านที่เป็นมุสลิมมา ทุกคนพูดจาเป็นกันเอง ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าเราคือผู้ต้องสงสัยเลย" หนุ่มใหญ่จากยะลา กล่าว
พ่อสุไลมานเฉยๆ - ทวงสัญญา ศอ.บต.ส่งลูกสาวเรียน
นายเจ๊ะแว แนซา บิดาของนายสุไลมาน แนซา ที่เสียชีวิตในห้องควบคุมตัวศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์เมื่อปีที่แล้ว กล่าวว่า เขารู้ข่าวมา 2-3 วันแล้วว่าศูนย์นี้ถูกยุบ เพราะมีเพื่อนบ้านที่ลูกชายถูกเจ้าหน้าที่จับกุมเป็นผู้ต้องสงสัยมาบอก เนื่องจากไปเยี่ยมที่ค่ายอิงคยุทธฯแล้วไม่พบ เพราะทหารย้ายผู้ต้องสงสัยทั้งหมดไปที่ยะลา (ศูนย์พิทักษ์สันติ) เพื่อนบ้านรายนี้ก็เลยกลับมาบอกทุกคนที่มีลูกหลานถูกควบคุมตัวให้พากันไปเยี่ยมที่ยะลา จะได้รู้ว่าอยู่ที่นั่นจริงหรือเปล่า สรุปว่าทุกคนอยู่ที่ยะลาจริง
"ถ้าถามความรู้สึก ผมก็เฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร เพราะเราก็หลุดจากสภาพตรงนั้นมานานแล้ว ไม่ได้ยึดติดกับตรงนั้น แต่ที่มาคิดตอนนี้คือสิ่งที่ทาง ศอ.บต. (ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) เคยให้คำมั่นสัญญาไว้ว่าจะให้ทุนการศึกษาลูกสาว และจะหาอาชีพเสริมให้ตั้งแต่ตอนที่สุไลมานเสียชีวิตใหม่ๆ จนถึงตอนนี้ หายไปเลย ส่วนเรื่องศูนย์ควบคุมตัวจะถูกยกเลิกหรือไม่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับความรู้สึกแล้ว เพราะปลงได้นานแล้ว" นายเจ๊ะแว กล่าว
เปิดปูมศูนย์ซักถาม...จาก "วิวัฒน์สันติ" ถึง "เสริมสร้างสมานฉันท์"
ศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ เป็นศูนย์ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยของฝ่ายทหาร เดิมชื่อ "ศูนย์วิวัฒน์สันติ" ตั้งอยู่ภายในค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี นานกว่า 5 ปี โดยในช่วงที่ฝ่ายความมั่นคงเปิดยุทธการพิทักษ์แดนใต้ ด้วยการปูพรม "ปิดล้อม-ตรวจค้น-จับกุม" ผู้ต้องสงสัยจำนวนหลายพันคนในช่วงปลายปี 2549 ต่อเนื่องถึงปี 2550 ช่วงนั้นฝ่ายความมั่นคงเปิดศูนย์ควบคุมตัวรองรับเอาไว้ 4 แห่ง แต่ศูนย์วิวัฒน์สันติถือว่าได้มาตรฐานที่สุด
อย่างไรก็ตาม ช่วงกลางปี 2550 มีข่าวเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯทำร้ายร่างกายผู้ต้องสงสัยรายหนึ่ง จนมีการร้องเรียนผ่านองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ทำให้แม่ทัพภาคที่ 4 ในขณะนั้นสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน และสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบยกชุด ก่อนจะเปลี่ยนชื่อศูนย์วิวัฒน์สันติเป็น "ศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์" แต่ใช้สถานที่เดิมคือภายในค่ายอิงคยุทธบริหาร
ศูนย์ควบคุมตัวของทหารมีหน้าที่่รองรับผู้ต้องสงสัยที่ถูกเชิญตัวตามกฎอัยการศึก โดยศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์เป็น "ศูนย์ซักถาม" ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดของกองทัพภาคที่ 4 ในขณะนั้น มีนักจิตวิทยาคอยซักถามข้อมูล และมีระยะเวลาควบคุมตัว 7 วัน หากไม่เพียงพอก็จะประสานกับทางตำรวจเพื่อทำเรื่องขอควบคุมตัวต่อตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ)
ศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ หรือ ศสฉ.ทำหน้าที่อย่างเงียบๆ มาหลายปี กระทั่งตกเป็นข่าวอื้อฉาวกรณีการเสียชีวิตของ นายสุไลมาน แนซา ผู้ต้องสงสัยคดีความมั่นคง คาห้องควบคุมตัวในลักษณะมีผ้าผูกคอติดกับเหล็กดัดหน้าต่าง เมื่อวันที่ 30 พ.ค.2553 เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ ศสฉ.ถูกตั้งคำถามเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ถึงขั้นถูกคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติส่งคณะทำงานเข้าตรวจสอบ และเสนอแนะให้ปรับขั้นตอนวิธีการการทำงานหลายประการ กระทั่ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าตัดสินใจปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในลักษณะยุบศูนย์ในที่สุด
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 ศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์
2 พ.อ.ปิยะวัฒน์ นาควานิช
3 เจ๊ะแว แนซา
อ่านประกอบ :
- ผ่าแผนยุทธการพิทักษ์แดนใต้ (1) พิสูจน์ศูนย์ควบคุมตัว 400 ผู้ต้องสงสัย
http://kobkob034.multiply.com/reviews/item/6?&show_interstitial=1&u=%2Freviews%2Fitem
- ปากคำจากทุกฝ่าย...พิสูจน์เบื้องหลังการตายคาค่ายทหาร
http://www.isranews.org/south-news/scoop/item/1680-2010-05-31-22-57-47.html
- บุกพิสูจน์ศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ ไขข้อข้องใจ "ซ้อม-ทรมาน" ผู้ถูกเชิญตัว
http://www.isranews.org/south-news/scoop/item/1612-2009-12-22-09-14-51.html