ความจริงที่ปะนาเระ...การตายดั่งใบไม้ร่วง กับปริศนา"กระสุนสองเด้ง"
เหตุการณ์คนร้ายบุกยิง นายอดิกรณ์ อึ้งรังษี น.ส.อุไร แซ่ฉั่ง สองสามีภรรยา และ น.ส.สุรีย์ อึ้งรังษี พี่สาวของนายอดิกรณ์ เสียชีวิตแบบยกครัวคาบ้านเลขที่ 35 ในตลาดปะนาเระ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นอีกครั้งหนึ่งที่อำเภอริมทะเลของ จ.ปัตตานี แห่งนี้กลายเป็นพื้นที่เป้าหมายของการก่อความรุนแรง
และเหยื่อ 3 รายล่าสุดก็เป็นชาวบ้านไทยพุทธ...
น่าสังเกตเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 7 ต.ค. หรือเพียง 6 วันก่อนหน้านั้น เพิ่งมีชาวบ้านจากหมู่ 1, 2, 3 ต.คอกกระบือ อ.ปะนาเระ จำนวนกว่า 200 คน ไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ พล.ท.อุดมชัย ธรรมาสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อเรียกร้องไม่ให้ย้ายฐานทหารพรานหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 44 ออกจากหมู่บ้าน ซึ่งปัจจุบันทหารพรานชุดนี้ตั้งฐานอยู่ที่โรงเรียนวัดมหิงษาราม ต.คอกกระบือ
ขณะที่ชุมชนหน้าวัดมหิงษารามเคยถูกคนร้ายใช้อาวุธสงครามกราดยิงเข้าใส่กลุ่มชาวบ้านที่กำลังจับกลุ่มรับประทานอาหารและซื้อของกันอยู่ที่ร้านค้าหน้าวัด จนมีผู้เสียชีวิตถึง 5 ราย บาดเจ็บอีก 3-4 ราย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 3 ก.พ.2554
ในช่วงเวลานั้น คือปลายเดือน ม.ค.ต่อเนื่องต้นเดือน ก.พ.รวม 21 วัน มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นในพื้นที่ อ.ปะนาเระ หรือกระทำต่อคนปะนาเระถึง 8 เหตุการณ์ มีผู้เสียชีวิต 13 ราย บาดเจ็บอีก 6 คน ทั้งพุทธและมุสลิม
ครั้งนั้น “ทีมข่าวอิศรา” ลงพื้นที่และได้รับฟังความเห็นจากชาวบ้าน มีเสียงสะท้อนจากคนในชุมชนฝากถึงหน่วยงานภาครัฐว่า พวกเขาอยากได้ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินกลับคืนมา ไม่อยากได้เงินเยียวยาที่รัฐมอบให้หลังจากเกิดเหตุรุนแรงและความสูญเสียขึ้นแล้ว
ทว่าเหตุรุนแรงที่ อ.ปะนาเระ ก็ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเร็วๆ นี้คือวันที่ 22 ก.ย.ก็เพิ่งเกิดเหตุการณ์ลอบยิงพยาบาลหนุ่มในโครงการผลิตพยาบาล 3 พันอัตราเสียชีวิตขณะเดินทางไปทำงานที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าทราย อ.ปะนาเระ
เกิดอะไรขึ้นที่ อ.ปะนาเระ? เป็นปริศนาที่น่าค้นหาคำตอบ...
ปะนาเระในเงาคลื่น (ความรุนแรง)
ปะนาเระเป็นอำเภอไม่ใหญ่ไม่เล็ก ตั้งอยู่ริมทะเล มีชายหาดสวยงาม โดยเฉพาะหาดที่มีทรายสีอ่อนเม็ดละเอียดชื่อ “หาดแฆแฆ” เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันโด่งดังเมื่อครั้งที่ยังไม่มีสถานการณ์ความไม่สงบ
คำว่า "ปะนาเระ" เป็นภาษามลายูปัตตานี มีที่มาจากคำว่า "ปาตา" แปลว่า หาด และคำว่า "ตาเระ" แปลว่าอวนลากปลา เมื่อนำมารวมกันเป็น “ปาตาตาเระ" จึงหมายถึงหาดที่ตากอวน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการทำประมงทางภาคใต้ ต่อมาคำว่า “ปาตาตาเระ” เมื่อใช้นานๆ เข้าก็กร่อนเป็น “ปะนาเระ”
อ.ปะนาเระ อยู่ห่างจาก อ.เมืองปัตตานีเพียง 20 กว่ากิโลเมตร ขับรถไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ได้สัมผัสหาดสวยแล้ว ทิศตะวันตกติดกับ อ.ยะหริ่ง ทิศใต้ติดกับ อ.สายบุรี และ อ.มายอ ส่วนทิศเหนือกับทิศตะวันออกติดกับทะเลอ่าวไทย
อ.ปะนาเระ มีทั้งสิ้น 10 ตำบล 53 หมู่บ้าน คือ ต.ปะนาเระ ต.ท่าข้าม ต.บ้านนอก ต.ดอน ต.ควน ต.ท่าน้ำ ต.คอกกระบือ ต.พ่อมิ่ง ต.บ้านกลาง และ ต.บ้านน้ำบ่อ มีประชากรราว 4 หมื่นคน นับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 68 ศาสนาพุทธร้อยละ 31 ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงชายฝั่งและทำการเกษตร ทั้งทำสวน ทำไร่ และปศุสัตว์
ชื่อของปะนาเระหลังจากปี 2547 ที่เกิดความรุนแรงระลอกใหม่ขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และทำให้คนทั้งประเทศจำได้ ก็คือเหตุการณ์คนร้ายบุกสังหารพระสงฆ์ เด็กวัด และเผากุฏิวอดไป 3 หลัง เมื่อคืนวันที่ 16 ต.ค.2548 ที่วัดพรหมประสิทธิ์
นอกจากนั้น อ.ปะนาเระ ยังเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมฮาลาล จึงเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นบ่อยครั้งของกลุ่มที่ไม่ต้องการให้นิคมแห่งนี้เกิดขึ้น
และทั้งหมดนั้นได้ทำให้อำเภอริมทะเลที่เคยสงบเงียบ ผู้คนสองศาสนาอยู่ร่วมกันอย่างพึ่งพาและสันติสุข แปรเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ขับไล่ไทยพุทธ-ตอกลิ่มศาสนา
เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองระดับสูงซึ่งเคยปฏิบัติหน้าที่ใน อ.ปะนาเระ เล่าถึงสภาพพื้นที่ให้ฟังว่า อ.ปะนาเระมีแนวร่วมเยอะ มีแกนนำระดับอาร์เคเค (กลุ่มติดอาวุธที่ผ่านการฝึกรบแบบจรยุทธ์เป็นหน่วยรบขนาดเล็ก) อยู่ถึง 3-4 รายซึ่งเคลื่อนไหวและกบดานอยู่ในพื้นที่รอยต่อ อ.กะพ้อ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี และ อ.รามัน จ.ยะลา เมื่อต้องการก่อเหตุก็จะเข้ามาในพื้นที่ อ.ปะนาเระ ก่อเหตุเสร็จเรียบร้อยก็หนีออกไป เป็นแบบนี้ตลอด
“เป้าหมายของแกนนำแนวร่วมเหล่านี้คือต้องการขับไล่พี่น้องไทยพุทธออกจากพื้นที่ จะเห็นได้ว่าในเขตเทศบาลและตลาดปะนาแระเมื่อก่อนมีพี่น้องไทยพุทธ 10-12 ครัวเรือน แต่ทุกวันนี้เหลือแค่ 7 หลังคาเรือน โดนสังหารไปเมื่อวันที่ 13 ต.ค.อีก 1 หลังคาเรือน ล่าสุดจึงเหลือแค่ 6 หลังคาเรือนเท่านั้น”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองรายนี้ยังให้ข้อมูลด้วยว่า ภาพรวมของพื้นที่ อ.ปะนาแระ มีพี่น้องไทยพุทธอยู่ทั้งหมด 18 หมู่บ้าน ทั้งแบบอยู่ผสมกันกับพี่น้องมุสลิมและอยู่กันเฉพาะพี่น้องไทยพุทธ หากหมู่บ้านไหนมีไทยพุทธทั้งหมดก็ดูแลง่าย ความเข้มแข็งมีมากกว่าหมู่บ้านที่อยู่แบบผสม
“สถานการณ์ ณ ขณะนี้น่าเป็นห่วง 5 หมู่บ้านที่มีพี่น้องไทยพุทธอยู่แบบผสมและเป็นจำนวนน้อย ประมาณ 7-10 หลังคาเรือน แต่ทางฝ่ายความมั่นคงก็พยายามอุดช่องโหว่โดยการนำกำลังทหารเข้าไปอยู่ในพื้นที่ แต่เวลาเกิดเหตุมักเป็นช่วงระหว่างเดินทาง จึงดูแลยาก อย่างที่ผ่านมามักเกิดเหตุบนถนนสายคอกกระบือ-ท่าน้ำ คนร้ายมักไปก่อเหตุในเขตท่าน้ำ แต่มุ่งประทุษร้ายคนคอกกระบือ ซึ่งพื้นที่ท่าน้ำเป็นพื้นที่ที่มีพี่น้องมุสลิมอาศัยอยู่เยอะ แต่คอกกระบือเป็นพื้นที่ที่พี่น้องไทยพุทธอยู่ การก่อเหตุลักษณะนี้สร้างความหวาดระแวงระหว่างคนสองศาสนาอย่างมาก”
“กริ่งกดเรียก จนท.”ช่วยไม่ได้
แม้ อ.ปะนาเระ เป็นอำเภอที่มีสัดส่วนพี่น้องไทยพุทธมากเป็นอันดับ 3 ของ จ.ปัตตานี รองจาก อ.แม่ลาน และ อ.โคกโพธิ์ แต่กลับเป็นพื้นที่ที่มีข่าวชาวบ้านไทยพุทธถูกสังหารบ่อยครั้งที่สุด ทำให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายพยายามหาวิธีเพื่อรักษาครัวเรือนเหล่านั้นเอาไว้ ไม่ให้อพยพย้ายออกตามการกดดันของฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบ
“ทางเราต้องติดกริ่งไว้ในบ้านของพี่น้องไทยพุทธในตลาด เมื่อเกิดเหตุจะได้สามารถส่งสัญญาณไปยังเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบได้ทันที และเจ้าหน้าที่จะได้รุดไปยังจุดเกิดเหตุได้เร็วที่สุด แต่สำหรับเหตุร้ายที่เกิดกับครอบครัวของนายอดิกรณ์เมื่อวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา มาตรการของเราช่วยอะไรไม่ได้ เพราะคนร้ายจ้องจะทำ เมื่อได้โอกาสเขาจึงลงมือ และวันนั้นเป็นวันตำรวจ ปรากฏว่าขณะเกิดเหตุตำรวจส่วนใหญ่ทำพิธีอยู่ในโรงพัก และเป็นวันเทศกาลออกพรรษาด้วย จึงมีการเทกำลังไปตามจุดเสี่ยงต่างๆ ในพื้นที่ จนเกิดช่องว่างขึ้นตรงนี้ ประกอบกับในตลาดเขตเทศบาลเองก็มีงานแต่งงาน จึงเกิดความวุ่นวายพอสมควร คนร้ายซึ่งพยายามหาโอกาสก็เลยได้โอกาส และบุกเข้าไปลงมือทันที” แหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองระดับสูง กล่าว
กระสุนสองเด้ง “สถานการณ์ผสานผลประโยชน์”
อย่างไรก็ดี หากหันไปฟังเสียงตำรวจเจ้าของพื้นที่อย่าง พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐ์พันธ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี (ผบก.ภ.จว.ปัตตานี) จะพบว่าเขามีข้อมูลเชิงลึกบางอย่างซึ่งทำให้เหตุการณ์นี้มองได้หลากมิติ
พล.ต.ต.พิเชษฐ์ บอกว่า ครอบครัวของนายอดิกรณ์เป็นครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้มานานมาก สามารถพูดภาษามลายูถิ่นได้เหมือนคนในพื้นที่ และเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน เนื่องจากเป็นเจ้าของเรือประมงชายฝั่งที่ให้ชาวบ้านออกเรือไปหาปลาแล้วนำกลับมาขายให้ร้านของเขา ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ แต่อีกด้านหนึ่งก็อาจถูกมองว่าเป็นการทำธุรกิจแบบผูกขาดก็ได้
ด้วยเหตุนี้จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากอะไร เพราะระยะหลังมีการสังหารเพราะขัดผลประโยชน์หรือด้วยเหตุผลอื่นแต่อาศัยช่วงจังหวะสถานการณ์ความไม่สงบเพื่อเบี่ยงเบนคดีเป็นจำนวนมาก และที่หนักไปกว่านั้นก็คือการจ้างแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบเป็นคนก่อเหตุเสียเอง เพื่อสร้างความสับสนให้กับเจ้าหน้าที่
ข้อสังเกตของ พล.ต.ต.พิเชษฐ์ นับว่าน่าสนใจ เพราะในสถานการณ์ที่มีกลุ่มคนบางกลุ่มถือปืนแต่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ ซ้ำยังมีอิทธิพลของขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนหนุนหลัง แต่โครงสร้างของขบวนการกลับถูกปิดลับ ไม่รู้ว่าใครเป็นใครแน่ ย่อมทำให้เกิดภาวะความรุนแรงแทรกซ้อนจนจับมือใครดมไม่ได้อย่างง่ายดาย
ทว่าเมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้วย่อมทำให้ภาพลักษณ์ในพื้นที่เต็มไปด้วยความรุนแรง สมประโยชน์ของกลุ่มก่อความไม่สงบที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนด้วย กลายเป็นประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในขณะนี้ว่าเป็น “กระสุนสองเด้ง” คือก่อเหตุครั้งหนึ่งได้ทั้งผลประโยชน์และสร้างสถานการณ์
ข้อสังเกตนี้สอดรับกับความเห็นของ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งมองว่าสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่โหมแรงมาตลอดหลายปีนั้น เป็นเพราะการบรรจบกันพอดีของการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงโดยกลุ่มที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน กับกลุ่มที่หวังผลประโยชน์ผิดกฎหมาย
“ปัญหาความรุนแรงส่วนใหญ่ที่เราตรวจสอบ พบว่ามาจากเรื่องขัดแย้งส่วนตัวค่อนข้างมาก เช่น เรื่องการบุกรุกที่ดิน การธุรกิจ บวกกับปัจจัยอื่นๆ โดยเฉพาะปัจจัยทางการเมืองที่สั่งสมกันมา เป็นปัจจัยที่มีผลในการลอบสังหารมากขึ้น อีกส่วนหนึ่งคิดว่าสำคัญและต้องเร่งจัดการคือภัยแทรกซ้อน เช่น ยาเสพติดและน้ำมันเถื่อน มีผลกระทบทำให้เกิดความรุนแรงมากขึ้นเช่นเดียวกัน” พล.ท.อุดมชัย กล่าว
ชาวบ้านฟันธง “รับจ้างก่อเหตุ”
จากข้อสังเกตของฝ่ายความมั่นคง เมื่อย้อนกลับไปฟังความรู้สึกของชาวบ้านในพื้นที่จริงๆ ก็พบว่าพวกเขารับรู้ถึงการสร้างสถานการณ์แทรกซ้อนเช่นนี้มานานแล้ว
นายมะ (ขอสงวนนามสกุล) มุสลิมที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ อ.ปะนาเระ กล่าวว่า ต้นตอของปัญหาคือเรื่องการเมืองกับผลประโยชน์ ส่วนอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนเชื่อว่าไม่มีแล้ว เพราะอาร์เคเคก็รับจ้างก่อเหตุและได้เงินไป ปัญหาในพื้นที่เป็นอย่างนี้จริงๆ
ขณะที่ นายวีระชัย แก้วเพ็ชรสงวน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ท่าข้าม อ.ปานาแระ บอกว่า มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกกันทั้งการเมืองและผลประโยชน์แล้วสร้างปัญหาขึ้นจนทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ไปๆ มาๆ คนสามจังหวัดโดนหมดทั้งไทยพุทธทั้งมุสลิม ไม่ต้องที่ อ.ปะนาแระ แต่ที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน พี่น้องไทยพุทธกับ มุสลิมหวาดระแวงแทบจะฆ่ากันตายอยู่แล้ว
ส่วน พ.อ.นิติ ติณสูลานนท์ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 44 (ผบ.ฉก.ทพ.44) รับผิดชอบพื้นที่ อ.ปะนาเระ มองไม่ต่างกันว่า อ.ปะนาเระ เป็นพื้นที่เปราะบาง เจ้าหน้าที่เองก็อยู่ในช่วงสับเปลี่ยนกำลัง เท่าที่ทราบสาเหตุของความรุนแรงเกิดจากปลายปัจจัย ทั้งเหตุผลส่วนตัว การขัดผลประโยชน์ และการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบ ทางแก้ที่ดีที่สุดคือทำให้พี่น้องประชาชนเข้มแข็ง ก็จะสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นได้
สรุปสถานการณ์ในพื้นที่-ฆ่ารายวันยังเพียบ
สำหรับสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคงมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเกือบทุกวัน “ทีมข่าวอิศรา” สรุปสถานการณ์รายวันตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 13 ต.ค.ซึ่งเกิดเหตุสังหารยกครัวที่ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี
เมื่อเวลา 11.33 น.คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนพกขนาด 9 มม.จ่อยิง นายอดิกรณ์ อึ้งรังษี อายุ 55 ปี น.ส.อุไร แซ่ฉั่ง อายุ 54 ปี สองสามีภรรยา และ น.ส.สุรีย์ อึ้งรังษี อายุ 57 ปี พี่สาวของนายอดิกรณ์ เสียชีวิตคาบ้านเลขที่ 35 ในตลาดปะนาเระ ซึ่งเปิดเป็นร้านรับซื้ออาหารทะเล ขณะที่ทั้ง 3 คนกำลังคัดเลือกอาหารทะเลสดอยู่ภายในบ้าน
หลังเกิดเหตุ ตำรวจ ทหาร และชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดได้นำกำลังรุดไปตรวจสอบ พบวัตถุระเบิดแสวงเครื่องบรรจุในกล่องเหล็ก น้ำหนัก 3 กิโลกรัม จุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสาร ซุกอยู่ในกระติกน้ำแข็งวางไว้ภายในบ้าน จึงใช้อาวุธปืนน้ำแรงดันสูงยิงทำลาย
ส่วนที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี เวลาประมาณ 10.00 น.วันเดียวกัน คนร้ายมีรถยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธสงครามยิงถล่มรถกระบะของ นายอามิ อูมา อายุ 45 ปี รองนายก อบต.ลูโบะยีไร ขณะขับอยู่บริเวณสามแยกบ้านตือบิงตีงี หมู่ 4 ต.ลูโบะยีไร อ.มายอ ทำให้ นายอามิ และ นายดอราเสะ เจ๊ะหลง อายุ 44 ปี พนักงานขับรถของ อบต.ลูโบะยีไร เสียชีวิตคารถ นอกจากนั้นกระสุนยังพลาดไปถูกชาวบ้านเสียชีวิตอีก 1 ราย เบื้องต้นตำรวจให้น้ำหนักไปที่ความขัดแย้งทางการเมือง แต่ก็ยังไม่ตัดทิ้งประเด็นการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบ
เวลา 15.50 น.คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนพกขนาด 9 มม.ยิง นายอับดุลเลาะ กาหลง อายุ 40 ปี ผู้ใหญ่บ้าน บ้านจาเราะแป หมู่ 3 อยู่บ้านเลขที่ 31 บ้านจาเราะแป ต.ธารโต อ.ธารโต จ.ยะลา เสียชีวิตคาที่ เหตุเกิดขณะที่นายอับดุลเลาะนั่งรถกระบะไปช่วยงานมงคลสมรสของญาติ ที่บ้านเลขที่ 119 บ้านบาตูปูเต๊ะ หมู่ 6 ต.บ้านแหร อ.ธารโต เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร
เวลา 18.10 น.คนร้ายจำนวน 2 คนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนประกบยิง นายอาซิ มะเก๊ะ อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 33 บ้านกะรุบี หมู่ 1 ต.ตาลีอายร์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดขณะที่นายอาซิกำลังขี่รถจักรยานยนต์อยู่บนถนนในหมู่บ้านตันหยง หมู่ 3 ต.มะนังยง อ.ยะหริ่ง มุ่งหน้ากลับบ้านหลังจากเล่นกีฬา เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการลอบยิงเช่นกัน
เวลา 19.00 น.คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้เครื่องยิงลูกระเบิดแบบเอ็ม 79 ยิงถล่มฐานปฏิบติการกองร้อยทหารราบที่ 7022 (ร้อย ร.7022) ที่บ้านกาโสด หมู่ 5 ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา ทำให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 2 นาย คือ จ.ส.ต.กำธร เทพวัง และ ส.อ.นิคม จันทร์ตุ้ย เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
อนุมัติย้าย “ครูสกุล” เหยื่อกระสุนออกนอกพื้นที่
ที่ จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ได้สนธิกำลังกันเข้าตรวจค้นบ้านไม่มีเลขที่ ในท้องที่ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส และควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย 3 รายที่คาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ยิง นายสกุล ทองเอียด ผู้อำนวยการโรงเรียนร่มเกล้า ได้รับบาดเจ็บสาหัส และ นางเสาวรุณ ทองเอียด ภรรยา ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนร่มเกล้าเสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่ทั้งสามให้การปฏิเสธ
สำหรับนายสกุล ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เมือง จ.นราธิวาส โดย นายโสภณ เพชรสว่าง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เป็นตัวแทนรัฐมนตรีเข้าเยี่ยมอาการบาดเจ็บ และแจ้งว่าทางกระทรวงได้อนุมัติให้ย้ายนายสกุลไปทำงานที่กรุงเทพฯเพื่อความปลอดภัย ตามความประสงค์ของนายสกุลที่ได้ร้องขอต่อ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ขณะลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และได้เข้าเยี่ยมนายสกุล เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา
ส่วน นางเสาวรุณ ภรรยาของนายสกุลนั้น ได้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพที่วัดชลเฉลิมเขต ในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ในวันเดียวกัน โดยนายสกุลได้ขออนุญาตแพทย์ไปร่วมพิธีด้วย
ยิง อส.-บึ้ม อบต.ล่อเจ้าหน้าที่เจอระเบิดกู้ทันหวุดหวิด
วันศุกร์ที่ 14 ต.ค.คนร้าย 2 คนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ประกบยิง นายอับดุลเลาะมัน สะนิ อายุ 40 ปี อาสารักษาดินแดน (อส.) ประจำที่ว่าการอำเภอระแงะ จ.นราธิวาส เสียชีวิตคาที่ เหตุเกิดบนถนนในหมู่บ้านยาโต๊ะ หมู่ 6 ต.บาเระเหนือ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ขณะที่ นายอับดุลเลาะมันกำลังขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านหลังละหมาดที่มัสยิด เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
เวลา 00.05 น.วันเดียวกัน คนร้ายมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนพกประกบยิง นายสำเริง พยนต์รัตน์ อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 135/56 ถนนนาเกลือ อ.เมือง จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นเจ้าของแพปลาศิริรัตน์ ทำให้นายสำเริงได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดบนถนนวัฒนธรรม หน้าวิทยาลัยอาชีวะศึกษาปัตตานี ในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี เบื้องต้นตำรวจให้น้ำหนักไปที่ความขัดแย้งส่วนตัว
เวลา 22.45 น.เกิดระเบิดบริเวณด้านหลังที่ทำการ อบต.ยะต๊ะ ที่บ้านอุแบ หมู่ 4 ต.ยะต๊ะ อ.รามัน จ.ยะลา แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เจ้าหน้าที่จึงไม่นำกำลังเข้าไปตรวจสอบ เพราะเกรงจะเป็นกับดักของคนร้าย กระทั่งเช้าจึงสนธิกำลังเข้าตรวจจุดเกิดเหตุ พบร่องรอยความเสียหายจากเหตุระเบิด และยังพบระเบิดอีก 1 ลูก บรรจุในกระป๋องเหล็กสีเขียวน้ำหนักประมาณ 3 กิโลกรัม ซุกอยู่ด้านหลังคอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศ เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิดจึงนำระเบิดลูกดังกล่าวไปยิงทำลายได้สำเร็จ เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 กระสุนของกลางที่ อ.ปะนาเระ (ภาพโดย ปาเรซ โลหะสัณห์ ผู้สื่อข่าวประจำ จ.ปัตตานี หนังสือพิมพ์คมชัดลึก)
2 เหตุระเบิดที่ อบต.ยะต๊ะ บ้านอุแบ อ.รามัน จ.ยะลา (ภาพโดย อะหมัด รามันห์สิริวงศ์)
ขอบคุณ : คุณปาเรซ โลหะสัณห์ และศูนย์ภาพเนชั่น เอื้อเฟื้อภาพที่ปะนาเระ