โครงสร้าง"ทหารคุมดับไฟใต้"ชะงัก-ส่อขัดกฎหมาย จับตาสุญญากาศอำนาจ?
สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามารับตำแหน่ง ต้องยอมรับว่าหลายช่วงเวลามีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีสถิติการก่อเหตุรุนแรงรายเดือนสูงสุดในรอบปี คือมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น 114 ครั้ง ขณะที่เดือนอื่นๆ อยู่ในช่วง 42-71 ครั้ง ส่วนในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กำลังใกล้เข้ามาก็มีการแจ้งเตือนการเตรียมก่อเหตุรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
ประเด็นหนึ่งที่มิอาจปฏิเสธได้ว่าน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งของไฟใต้ที่คุกรุ่นก็คือ หลายเดือนที่ผ่านมาเป็นช่วง "สุญญากาศ" ของโครงสร้างการบังคับบัญชาเพื่อบูรณาการแก้ไขปัญหา เนื่องจากโครงสร้างที่เสนอโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งรัฐบาลให้ความเห็นชอบเบื้องต้นในการประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคงเมื่อวันที่ 22 ก.ย.นั้น จนป่านนี้ยังไม่มีผลบังคับใช้
พิมพ์เขียวโครงสร้างใหม่ได้ถูกนำไปจัดเวิร์คชอป (ประชุมเชิงปฏิบัติการ) โดยมี กอ.รมน.เป็นเจ้าภาพ เมื่อวันที่ 18-19-ต.ค. กระทั่งได้โครงสร้างที่ชัดเจนออกมา และพิมพ์เป็นคำสั่งเสนอนายกรัฐมนตรี แต่จนถึงขณะนี้นายกฯก็ยังไม่ได้ลงนาม
โครงสร้างดังกล่าวสรุปคร่าวๆ คือจะมีคณะกรรมการ หรือ "บอร์ด" 2 ระดับ กล่าวคือ
1.บอร์ดระดับชาติหรือระดับนโยบาย ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ นชต.มีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในที่นี้คือ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับดูแลปัญหาภาคใต้ มีรัฐมนตรีและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรวม 27 หน่วยงานร่วมเป็นกรรมการ รวมถึงเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ด้วย
2.บอร์ดระดับพื้นที่หรือระดับปฏิบัติ ได้แก่ คณะกรรมการบูรณาการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ กบชต.เป็นหน่วยรับผิดชอบหลักในการบูรณาการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ มีแม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.รมน.ภาค 4 เป็นประธาน และมีผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา รวมทั้งผู้แทน ศอ.บต.และผู้บัญชาการกองกำลังตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นรองประธาน มีกรรมการคือผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทุกจังหวัด (ทหาร) และหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง
ส่อขัด พ.ร.บ.ศอ.บต.-สวนทางนโยบาย สมช.
โครงสร้างนี้ดูเผินๆ ก็ไม่มีอะไรมาก จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการให้ "แม่ทัพภาคที่ 4" เป็นผู้บังคับบัญชาทุกหน่วยในระดับพื้นที่เพื่อความเป็นเอกภาพในการปฏิบัติ แต่ปัญหาก็คือ สถานการณ์ชายแดนใต้ ณ วันนี้มีกฎหมายหลักที่ใช้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการอยู่แล้ว คือ พระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 หรือเรียกง่ายๆ ว่า "พ.ร.บ.ศอ.บต.ฉบับใหม่" ซึ่งผลักดันและมีผลบังคับใช้ในรัฐบาลประชาธิปัตย์เมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง
สาระของ พ.ร.บ.ศอ.บต.นอกจากจะกำหนดให้องค์กร ศอ.บต.เป็นหน่วยงานขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี และมีศักดิ์ศรีเทียบเท่า กอ.รมน.แล้ว เลขาธิการ ศอ.บต.ยังเป็นข้าราชการระดับ 11 จึงไม่สามารถอยู่ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพภาคที่ 4 ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ในมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ศอ.บต.ยังกำหนดให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นผู้รับผิดชอบจัดทำนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้ความเห็นชอบ และ ครม.ยังต้องนำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อทราบ แล้วให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นกรอบแนวทางในการปฏิบัติอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องด้วย
หนำซ้ำในวรรคท้ายของมาตรา 4 ยังกำหนดให้นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ สมช.จัดทำหรือปรับปรุง (ตามกรอบเวลาทุกๆ 3 ปี) จะต้องให้สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สปต.) ซึ่งเปรียบเสมือนสภาวิชาชีพและตัวแทนภาคประชาชนจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ภายใต้ร่ม ศอ.บต.พิจารณาให้ความเห็นด้วย
ขณะที่ในมาตรา 5 กำหนดให้ กอ.รมน.ปรับปรุงแผนและแนวทางในการปฏิบัติงานทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ให้สอดคล้องกับนโยบายการบริหารและการพัฒนาของ สมช.
ประเด็นสำคัญๆ เหล่านี้จึงเป็นที่มาของคำถามที่ว่า โครงสร้างใหม่เพื่อบูรณาการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ กอ.รมน.นั้น ขัดต่อกฎหมาย ศอ.บต.หรือไม่ และสอดคล้องกับนโยบายการบริหารและการพัฒนาที่จัดทำโดย สมช.หรือเปล่า
โครงสร้างใหม่แย่งอำนาจเลขาฯ ศอ.บต.
ยิ่งไปกว่านั้น อำนาจหน้าที่ของ นชต. และ กบชต.ตามโครงสร้างใหม่ ยังสุ่มเสี่ยงซ้ำซ้อนกับอำนาจของ ศอ.บต.ตาม พ.ร.บ.ศอ.บต.ด้วย เช่น อำนาจในการพิจารณากลั่นกรองโครงการ แผนงาน รวมทั้งงบประมาณของส่วนราชการต่างๆ (ซึ่งมีกำหนดให้อำนาจไว้ทั้ง นชต.และ กบชต.) หรืออำนาจการพิจารณาให้ความดีความชอบ และการลงโทษ ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในพื้นที่ (เป็นอำนาจของ กบชต. หรือบอร์ดระดับพื้นที่ซึ่งมีแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นประธาน) เป็นต้น ทั้งๆ ที่อำนาจหน้าที่เหล่านี้บางส่วนหรือทั้งหมดเป็นของเลขาธิการ ศอ.บต.
ประเด็นต่างๆ ดังกล่าวทำให้เกิดภาวะ "สุญญากาศทางอำนาจ" ในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับมีการสั่งถอนกำลังทหารและตำรวจออกจากสถานศึกษาทุกแห่ง เนื่องจากถูกองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศท้วงติง เพราะเกรงจะทำให้เด็กๆ และเยาวชนซึมซับความรุนแรงด้วย จึงน่าเชื่อว่าส่งผลให้มีช่องโหว่ให้ฝ่ายขบวนการก่อความไม่สงบปฏิบัติการจุดชนวนความรุนแรงขึ้นได้อย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่
แม่ทัพภาค 4 แจงแค่ช่วยจัดงบ-ปัดยึดอำนาจ
พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวยอมรับกับ "ศูนย์ข่าวภาคใต้ สำนักข่าวอิศรา" ว่า คำสั่งที่กำหนดโครงสร้างใหม่เพื่อบูรณาการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่ออกมา เพราะมีความกังวลว่าอาจขัดกับกฎหมาย ศอ.บต. แต่อยากขอชี้แจงว่าไม่ได้เป็นการตั้งศูนย์บัญชาการขึ้นใหม่ เป็นแต่เพียงการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อบูรณาการและให้ผู้แทนหน่วยงานต่างๆ ได้คุยกัน โดยเฉพาะเรื่องการจัดงบประมาณและโครงการพัฒนาให้ตรงกับความต้องการของประชาชนและสอดคล้องกับสถานการณ์ในห้วงเวลานั้นๆ มากที่สุด เพราะต้องยอมรับว่าทหารเป็นหน่วยเดียวที่มีกำลังกระจายอยู่ในทุกพื้นที่
"เราไม่ได้แก้กฎหมาย ไม่ได้จัดตั้งหน่วยงานใหม่ ผมไม่ได้มีอำนาจบังคับบัญชาหน่วยงานใดหรือแม้แต่ ศอ.บต. ผมในฐานะ ผอ.รมน.ภาค 4 ดูแลได้เฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัดในส่วนงานที่เกี่ยวกับ ผอ.รมน.จังหวัดเท่านั้น เพียงแต่ที่ผ่านมางบประมาณและโครงการพัฒนาของหน่วยงานต่างๆ ลงไปในพื้นที่ในลักษณะกระจาย ไม่เป็นเอกภาพ และไม่สอดรับกับสถานการณ์ จึงมีคณะกรรมการขึ้นมาจัดระบบเพื่อบูรณาการเท่านั้นเอง ไม่ได้ดึงงบมาจัดสรรเองตามที่มีบางฝ่ายเข้าใจ" แม่ทัพภาคที่ 4 ระบุ
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวซึ่งเป็นนายทหารจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยืนยันว่า โครงสร้างใหม่จะมีผลบังคับใช้แน่นอน เพียงแต่ขณะนี้กำลังพิจารณาปรับแก้อำนาจหน้าที่บางประการ และอาจปรับโครงสร้างให้เป็น "คณะทำงาน" เพื่อไม่ให้สุ่มเสี่ยงต่อการขัดหรือแย้งกับกฎหมาย ศอ.บต.
"ปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่โครงสร้างใหม่อย่างเดียว แต่ สมช.เองก็ยังจัดทำนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่เรียบร้อย จึงต้องใช้ยุทธศาสตร์ของ กอ.รมน.ไปพลางก่อน ขณะที่งบประมาณก็ยังไม่ออกมา ทำให้กลายเป็นปัญหางูกินหาง" แหล่งข่าว ระบุ
ใต้ป่วนต่อ-เอ็ม 79 ถล่มจุดตรวจมายอ
ด้านสถานการณ์ในพื้นที่ตลอดวันที่ 23 ธ.ค.2554 ยังคงมีเหตุรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 01.30 น.คนร้ายใช้เครื่องยิงลูกระเบิดแบบเอ็ม 79 ยิงใส่จุดตรวจของตำรวจ ริมถนนสาย อ.ยะรัง-อ.มายอ ท้องที่หมู่ 2 บ้านม่วงหวาน ต.สาคอบน อ.มายอ จ.ปัตตานี แต่ลูกระเบิดพลาดไปโดนสายไฟฟ้าแรงสูงจึงระเบิดก่อนที่จะตกสู่เป้าหมาย ทำให้ไม่มีกำลังพลได้รับอันตราย
เวลา 12.40 น.คนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบยิง นายอับดุลเลาะ ยูโซ๊ะ อายุ 44 ปี ลูกจ้างโครงการจ้างงานเร่งด่วน 4,500 บาท ขณะขับรถกระบะอยู่บนถนนในหมู่บ้าน ท้องที่หมู่ 1 บ้านกอตอรานอ ต.คลองใหม่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี โดยมีภรรยาและบุตรชายวัยเพียง 3 ขวบนั่งไปด้วย กระสุนถูกนายอับดุลเลาะ 3 นัดได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ยังแข็งใจใช้อาวุธปืนพกขนาด .38 ยิงตอบโต้จนคนร้ายได้รับบาดเจ็บและรถจักรยานยนต์ล้มคว่ำ ทำให้กลุ่มแนวร่วมก่อความไม่สงบที่มาด้วยกันขี่รถเข้าช่วยและพาหลบหนีไปอย่างทุลักทุเล
ส่วนที่ จ.นราธิวาส ช่วงเช้าวันเดียวกัน คนร้ายไม่น้อยกว่า 2 คนแฝงตัวอยู่ในป่ายางพาราข้างทาง ใช้อาวุธปืนอาก้าและเอชเคยิงถล่ม นายสือมาง๊ะ ยูโซ๊ะ อายุ 47 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านแมแน หมู่ 3 ต.มะนังตายอ อ.เมือง จ.นราธิวาส เสียชีวิตคารถยนต์ เหตุเกิดบนถนนสายบ้านป่าไผ่-ตันหยงลิมอ ท้องที่หมู่ 5 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
เวลา 16.55 น.คนร้าย 2 คนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนพกไม่ทราบขนาดประกบยิง นายนิพนธ์ ทองรมย์ อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 44 หมู่ 6 ต.สุไหงปาดี อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส เสียชีวิตขณะขี่รถจักรยานยนต์กลับจากหาของป่า ส่วนเพื่อนที่นั่งรถมาด้วยกันไม่ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดบริเวณหน้าสถานีอนามัยปาเระรูโบ๊ะ หมู่ 9 ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : แผนภาพแสดงโครงสร้างองค์กรบริหารใหม่เพื่อบูรณาการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่ปรากฏผลเป็นรูปธรรม (ภาพจากแฟ้มภาพอิศรา)