คาร์บอมบ์รับปี 55 กับ"ทีท่า"ของกลุ่มก่อความไม่สงบ
"คาร์บอมบ์" ในเขตเทศบาลตำบลตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อวันอังคารที่ 10 ม.ค. ซึ่งเป็นคาร์บอมบ์ลูกแรกของปี 2555 ไล่หลังเหตุการณ์ความรุนแรงที่พุ่งเป้าโจมตีเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งทหารหลัก ทหารพราน และอาสารักษาดินแดน (อส.) ถึง 5 ครั้งในรอบ 10 วันของปีใหม่ ทำให้มีกำลังพลและ "คนของรัฐ" สูญเสียอย่างน้อย 5 ศพ สะท้อนถึงสัญญาณบางอย่างจากชายแดนใต้
ประเด็นที่น่าสังเกตก็คือ มีการ "ล็อคเป้า" เจ้าหน้าที่รัฐอย่างชัดเจนขึ้นในเหตุการณ์ที่เชื่อได้ว่าเป็นการกระทำของกลุ่มขบวนการที่มีอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน ส่วนเหตุการณ์ประเภท "ยิงรายวัน" นั้น ก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าเป็นเหตุล้างแค้นส่วนตัว ยาเสพติด การเมืองท้องถิ่น และความขัดแย้งอื่นๆ เสียมากกว่าครึ่งค่อน
วางเป้าถล่ม "จนท.รัฐติดอาวุธ"
แหล่งข่าวจากฝ่ายทหารประเมินว่า หลังจากนี้เจ้าหน้าที่รัฐที่ติดอาวุธ ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง รวมทั้งกลุ่มคนที่ทำงานให้รัฐ และกองกำลังประชาชนที่รัฐจัดตั้งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) และอื่นๆ จะตกเป็นเป้าของความรุนแรงมากขึ้น
"ฝ่ายขบวนการเสียมวลชนไปเยอะจากการก่อเหตุที่สะเปะสะปะ ทำให้ผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก หลายกรณีทำให้พวกเขาสูญเสียการสนับสนุนจากต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะการก่อเหตุที่ทำให้ครูและเด็กหรือเยาวชนต้องบาดเจ็บล้มตาย จุดนี้กลายเป็นจุดอ่อน ทั้งๆ ที่บางกรณีอาจจะไม่ใช่การกระทำของกลุ่มขบวนการแท้ๆ แต่มีเรื่องอื่นปน ทว่าในภาพที่มองจากข้างนอกก็เหมารวมว่าเป็นการกระทำของขบวนการทั้งหมด จุดนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของพวกเขาเสียหาย และรัฐบาลไทยสามารถนำข้อมูลไปยันในเวทีนานาชาติได้ด้วยว่านี่เป็นสงครามอาชญากรรมที่ก่อความเสียหายกับบริสุทธิ์มากกว่าการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์"
แหล่งข่าวจากฝ่ายทหาร ยังคงยืนยันข้อมูลว่า มีผู้ก่อความไม่สงบบางระดับเกี่ยวพันกับขบวนการค้าของผิดกฎหมายโดยเฉพาะยาเสพติดในพื้นที่ และกลุ่มเหล่านี้ไปรับงานก่อเหตุรุนแรงที่กระทบกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ซึ่งไม่ได้อยู่ในเป้าหมายของขบวนการ ทำให้ขบวนการเสียแนวร่วม ฉะนั้นตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ฝ่ายขบวนการจะเน้นโจมตีคนที่ถืออาวุธด้วยกัน โดยเฉพาะตำรวจ ทหาร
"ข้อมูลทางการข่าวหลายแหล่งรายงานมาตรงกันว่าตั้งแต่ต้นปี 2555 เขาจะพุ่งเป้าตำรวจ ทหาร กับกองกำลังติดอาวุธ โดยเฉพาะตำรวจ ทหารที่ชาวบ้านไม่ชอบอยู่แล้วจากการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งต้องล่วงล้ำการดำเนินชีวิตตามปกติของประชาชน ฉะนั้นหากทำกับตำรวจ ทหารก็จะได้มวลชน ได้การสนับสนุนจากชาวบ้านกลับคืนมา" แหล่งข่าว ระบุ
ยิ่งยืดเยื้อยิ่งเสียเปรียบ-สั่งเปิดแนวรบเต็มสูบ
ข้อมูลของฝ่ายทหารสอดรับกับข้อมูลจากแหล่งข่าวในพื้นที่ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับขบวนการก่อความไม่สงบหลายระดับที่ได้เปิดเผยกับ "ทีมข่าวอิศรา" ว่า ขณะนี้ขบวนการมีปัญหาเรื่องการควบคุมเยาวชน โดยเฉพาะแนวร่วมระดับล่างซึ่งมีปัญหาเรื่องยาเสพติดและปฏิบัติการอย่างอิสระ ไม่ได้ฟังคำสั่งจากขบวนการทั้งหมด
ปัญหาดังกล่าวเมื่อผนวกกับการต่อสู้ที่ยืดเยื้อยาวนานถึง 8 ปีและยังไม่มีทีท่าว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายในระยะเวลาอันใกล้ได้ ทำให้แนวร่วมบางส่วนเริ่มถอดใจ บางส่วนหันไปปฏิบัติการอิสระ ขณะที่แกนนำบางระดับก็ขัดแย้งทางความคิดกันเอง ส่งผลให้โครงสร้างของขบวนการอ่อนแอลง
"ยิ่งสถานการณ์ยืดเยื้อยิ่งทำให้พวกเขาเสียเปรียบ เขาบอกว่าปัญหาที่นี่ต้องจบภายใน 10 ปีนี้ และต้องมีการสูญเสีย ฉะนั้นในช่วง 2-3 ปีนับจากนี้ไปเหตุการณ์จะต้องยิ่งรุนแรงหนักขึ้น" แหล่งข่าวอ้างคำพูดของคนในขบวนการ
อยากให้คง พ.ร.ก.-ไม่เอาปกครองพิเศษ
การเคลื่อนไหวหลายๆ เรื่องขององค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในขบวนการก่อความไม่สงบมีความเห็นแตกต่างกันต่อประเด็นแต่ละประเด็นที่ถูกจุดขึ้นในสามจังหวัดชายแดน แหล่งข่าวคนเดียวกัน บอกว่า ประเด็นที่มีการถกเถียงกันก็เช่น การรณรงค์ให้เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในท้องที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548) หรือการรณรงค์ให้จัดตั้งองค์กรปกครองท้องถิ่นแบบพิเศษ
"ข้อมูลจากคนในขบวนการบอกว่า จริงๆ แล้วยุทธศาสตร์ของพวกเขาไม่ต้องการให้รัฐเลิก พ.ร.ก. เพราะการใช้ พ.ร.ก.ทำให้มวลชนไหลมาทางฝั่งขบวนการ เนื่องจากมีการละเมิดสิทธิ ปิดล้อมตรวจค้นจับกุม สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องในพื้นที่ การวางเป้าหมายโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐติดอาวุธมากขึ้นในปีนี้ ก็เพื่อต้องการให้เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก. แล้วก็จะสร้างเงื่อนไขมากกว่าเดิม"
"ส่วนเรื่องปกครองพิเศษนั้น เสียงส่วนใหญ่ในขบวนการไม่เอา บ้างก็บอกว่าเป้าหมายคือต้องการปัตตานีคืน ไม่ใช่แค่เขตปกครองพิเศษ บางพวกก็บอกว่าเป้าหมายอยู่ที่ความเป็นธรรม ไม่ใช่เรื่องการปกครอง แต่แกนนำหลายระดับก็ประเมินว่าหากสถานการณ์การต่อสู้กับรัฐไทยยังคงยืดเยื้อ โอกาสที่แนวร่วมหลายกลุ่มจะหันไปหาเขตปกครองพิเศษก็จะมากขึ้น เพราะมีความเป็นไปได้มากกว่าการแยกดินแดนตั้งรัฐใหม่ตามเป้าหมายเดิม พูดได้ว่าเป็นความหวังที่เอื้อมถึงได้ง่ายกว่าในขณะนี้"
รอดูท่าที "เปิดโต๊ะเจรจา"
จากปัญหาภายในของขบวนการก่อความไม่สงบที่เริ่มปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การ "เปิดโต๊ะเจรจา" ถูกหยิบขึ้นมาหารือในหมู่แกนนำบางระดับบ้างเหมือนกัน แม้จะมีสัญญาณมาตลอดว่าแกนนำระดับสูงไม่มีสัญญาณเรื่องการเปิดเจรจา
แหล่งข่าวคนเดิมให้ข้อมูลว่า แนวร่วมขบวนการหลายกลุ่มแสดงท่าทีอยากเจรจา แต่ในความเห็นของตนเองเชื่อว่าเป็นท่าทีส่วนบุคคลหรือเฉพาะกลุ่มมากกว่า ไม่ใช้ท่าทีของขบวนการในภาพใหญ่
"แนวร่วมหลายคนมาเล่าให้ฟัง บอกว่าหัวหน้ากลุ่มที่อยู่ต่างประเทศไม่ต้องไปเจรจา เพราะกลุ่มนั้นมีแต่ชื่อไม่มีอำนาจ ถ้าจะเจรจาต้องมาเจรจากับคนที่อยู่ข้างในนี้ แต่ที่ผ่านมารัฐไทยไม่มีหลักประกันอะไรที่จะรับรองความปลอดภัย ฉะนั้นถ้าอยากเจรจาก็ต้องแสดงความจริงใจ และให้มีคนกลางของทั้งสองฝ่ายเป็นผู้นำข้อเสนอมาตกลงกัน" แหล่งข่าว ระบุ
ข้อมูลจากแหล่งข่าวในพื้นที่ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับคนในขบวนการก่อความไม่สงบดังกล่าว สอดคล้องกับข้อมูลของฝ่ายทหารที่ว่า พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้ตั้ง "ทีมพิเศษ" ขึ้นมาในทางลับเพื่อเจรจากับแนวร่วมของขบวนการทั้งที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ และที่พำนักอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีจำนวนหนึ่งพร้อมกลับบ้านและร่วมมือกับฝ่ายรัฐหากมีกระบวนการรองรับที่เหมาะสม
ท่าทีต่างๆ ของกลุ่มก่อความไม่สงบเท่าที่ "ทีมข่าวอิศรา" ได้ตรวจสอบมา บางส่วนตรงกับข้อมูลของ "ศูนย์สันติสุข" ซึ่งทำหน้าที่เปิดรับการพูดคุยกับแนวร่วมหรือ "กลุ่มเสี่ยง" ในพื้นที่ โดย พล.ท.สำเร็จ ศรีหร่าย อดีตผู้อำนวยการศูนย์สันติสุข ระบุว่า คนในขบวนการเกือบทั้งหมดเท่าที่ได้พูดคุย แทบไม่มีใครเอาด้วยกับเขตปกครองพิเศษ โดยเฉพาะคนที่มีอุดมการณ์เข้มข้นจริงๆ เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการคือรัฐปัตตานี ส่วนการเปิดเจรจานั้น ชัดเจนว่าแกนนำระดับสูงยังยืนยันไม่เจรจา เพราะยังถือว่าได้เปรียบรัฐไทยอยู่ โดยจะเดินหน้ายุทธศาสตร์สร้างสถานการณ์ต่อไปเพื่อให้บรรจุเป้าหมาย
ยิงลูกจ้างรถไฟดับ-คาร์บอมบ์ระแงะสองพ่อลูกรับเคราะห์
ด้านสถานการณ์ความไม่สงบในสัปดาห์ที่ 2 ของปี 2555 เมื่อเวลา 06.30 น.วันพุธที่ 11 ม.ค. คนร้ายจำนวน 2 คนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนพกขนาด 9 มม.ประกบยิง นายพัชร อัศวะเดชากุล อายุ 33 ปี ลูกจ้างสถานีรถไฟนาประดู่ อยู่บ้านเลขที่ 78/1 บ้านนาเกตุ หมู่ 1 ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตที่โรงพยาบาลโคกโพธิ์ เหตุเกิดขณะที่นายพัชรกำลังขี่รถจักรยานยนต์อยู่บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 409 ท้องที่บ้านโพธิ์ หมู่ 2 ต.มะกรูด อ.โคกโพธิ์ เพื่อไปเข้าเวรที่ป้อมควบคุมสัญญาณข้ามทางรถไฟสถานีนาประดู่ อ.โคกโพธิ์ เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
ก่อนหน้านั้น เมื่อเวลา 19.05 น.วันอังคารที่ 10 ม.ค. คนร้ายไม่ทราบจำนวนได้ลอบวางระเบิด "คาร์บอมบ์" บริเวณหน้าตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงไทย ถนนเทศบาล 8 ทางเข้าโรงเรียนดารุสลาม ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เป็นเหตุให้บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย 6 คูหา มีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ประกอบด้วย นายยะห์ มะลี อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 101 บ้านกูแบบาเดาะ หมู่ 7 ต.บาโงสะโต อ.ระแงะ ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณแขนซ้ายได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย, ด.ญ.แวนัสรินทร์ มะลี อายุ 4 ปี ลูกสาวของนายยะห์ อยู่บ้านเลขที่ 101 บ้านกูแบบาเดาะ หมู่ 7 ต.บาโงสะโต อ.ระแงะ มีบาดแผลถลอกบริเวณศีรษะ และนายโซเฟียร เปาะเลาะ อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 26/2 ถนนเทศบาล 8 ต.ตันหยงมัส ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณหน้าแข้งซ้าย ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองได้นำกำลังรุดไปตรวจสอบ และสอบสวนจนทราบว่า ขณะที่กำลังทหารพรานหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 45 ซึ่งปฏิบัติหน้าที่เป็นชุดปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยพื้นที่ (ชป.รปภ.) ได้ขับรถกระบะตระเวนดูแลความสงบเรียบร้อยภายในเขตเทศบาลตำบลตันหยงมัส เมื่อขับรถผ่านตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงไทย คนร้ายได้ใช้โทรศัพท์มือถือกดจุดชนวนระเบิดที่ประกอบใส่ไว้ในรถยนต์เก๋งยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นแลนเซอร์ สีเทาดำ หมายเลขทะเบียน กข 9784 สงขลา ซึ่งเป็นป้ายทะเบียนปลอม จอดทิ้งอยู่ข้างตู้เอทีเอ็ม จนเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แต่ไม่มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บ ทว่าแรงระเบิดกลับทำให้สองพ่อลูกและชาวบ้านที่ขี่รถจักรยานยนต์และจอดรถอยู่ในละแวกนั้นบาดเจ็บแทน เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
ยิงรายวัน 2 จุด 2 จังหวัดสังเวย 2 ศพ เจ็บ 2
เวลา 19.00 น.วันเดียวกัน คนร้าย 2 คนมีรถกระบะยี่ห้ออีซูซู ไม่ทราบหมายเลขทะเบียนเป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนพกขนาด 9 มม.และอาวุธปืนเอ็ม 16 บุกยิงสองสามีภรรยาที่ร้านขายของชำเลขที่ 65/1 บ้านโลทู หมู่ 6 ต.ปล่องหอย อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี ทำให้ นายอับดุลเลาะ เต็งลา อายุ 57 ปีซึ่งเป็นสามี เสียชีวิตคาที่ ส่วน นางแมะพะ ดะแซ อายุ 54 ปี ภรรยา ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย โดยหลังก่อเหตุคนร้ายได้ชิงปืนพกขนาด .38 ของนายอับดุลเลาะไปด้วย เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร แต่ให้น้ำหนักไปที่ความขัดแย้งส่วนตัว
ช่วงเวลาใกล้เคียงกัน คนร้าย 2 คนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ประกบยิง นายอาหะมะ สามะ อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 56 บ้านบาโงยือแบ็ง หมู่ 5 ต.กะรุบี อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี เสียชีวิต และ นายนิพารุสวันฮัมซี ต่วน อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 42 บ้านเกะรอ หมู่ 1 ต.เกะรอ อ.รามัน จ.ยะลา ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดขณะทั้งคู่กำลังขับรถยนต์เก๋งส่วนตัวอยู่บนทางหลวงสาย 3021 บ้านคอกวัว หมู่ 5 ต.ปล่องหอย อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี เพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหารเช่นกัน แต่ให้น้ำหนักไปที่ความขัดแย้งส่วนตัว
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : ปลอกกระสุนปืนและรถจักรยานยนต์ที่ล้มคว่ำหลังคนร้ายก่อเหตุยิง นายพัชร อัศวะเดชากุล อายุ 33 ปี ลูกจ้างสถานีรถไฟนาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ขณะขี่มอเตอร์ไซค์ไปทำงาน เมื่อเช้าวันพุธที่ 11 ม.ค.