มาตรา 21 วุ่น! ผู้เสียหายฮือฟ้อง 4 ผู้ต้องหาปฏิเสธเข้าอบรม
มาตรา 21 บานปลาย ผู้เสียหาย 28 รายจ่อรวมตัวฟ้อง 4 ผู้ต้องหาคดีความมั่นคงที่ปฏิเสธเข้ารับการอบรมแทนการฟ้องคดี หลังขึ้นศาลนาทวีอีกรอบก็ยังยืนกรานไม่สมัครใจ หน่วยเฉพาะกิจสงขลาเผยมีหมายจับคดีสำคัญ ใช้เงินเยียวยาเหยื่อไปแล้วร่วมล้านแต่กลับลำ ยันไม่มีซ้อมทรมานแน่ ด้านทนายมุสลิม ระบุ ตำรวจยังรุดคุมตัวผู้ต้องหาถึงหน้าศาลทั้งๆ ที่ไม่มีอำนาจ เชื่อทำให้กระบวนการตามมาตรา 21 ยากขึ้นไปอีก สุดท้ายอัยการนัดส่งฟ้องเดือน มี.ค.
ผู้เสียหาย 28 รายที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐอ้างว่าได้รับผลกระทบจากการก่อเหตุรุนแรงของ 4 ผู้ต้องหาที่ปฏิเสธเข้ารับการอบรมเป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือนแทนการฟ้องคดีอาญา ซึ่งเป็นกระบวนการตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 หรือ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ได้เตรียมนัดหารือกันในวันพุธที่ 25 ม.ค.นี้ เพื่อเดินหน้าฟ้องคดีผู้ต้องหาทั้ง 4 รายดังกล่าว
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาทั้ง 4 ซึ่งเป็นผู้ต้องหาชุดแรกที่เข้าสู่กระบวนการตามมาตรา 21 ประกอบด้วย นายอับริก สหมานกูด, นายซูบิร์ สุหลง, นายมะซับรี กะบูติง และนายสะแปอิง แวและ เป็นราษฎรจาก อ.เทพา และ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา โดยทั้งหมดได้ยืนยันต่อศาลจังหวัดนาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา อีกครั้งหนึ่งเมื่อวันจันทร์ที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมาว่าไม่สมัครใจเข้ารับการอบรมแทนการถูกฟ้องคดี หลังจากพวกเขาเคยยื่นคำให้การปฏิเสธมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อวันพุธที่ 14 ธ.ค.2554 โดยอ้างว่าไม่ได้เข้าร่วมกระบวนการตามมาตรา 21 โดยสมัครใจ แต่ถูกบังคับและซ้อมทรมาน กระทั่งศาลต้องนัดพร้อมคู่ความทั้งสองฝ่ายอีกรอบในวันจันทร์ที่ 23 ม.ค.2555 ทว่าผู้ต้องหาทั้งหมดยังคงตัดสินใจเช่นเดิม
อย่างไรก็ดี ประเด็นนี้ส่อเค้าบานปลาย เมื่อผู้เสียหายจากการกระทำของผู้ต้องหาทั้ง 4 ในคดีที่พวกเขาตกเป็นผู้ต้องหา เตรียมรวมตัวกันฟ้องร้องดำเนินคดี
ทหารชี้ 4 ผู้ต้องหามีหมายจับ-28 ผู้เสียหายจ่อฟ้อง
พ.ท.สมพิศ คงแข็ง หัวหน้าฝ่ายยุทธการ หน่วยเฉพาะกิจสงขลา กล่าวว่า ผู้ต้องหา 3 ใน 4 คน (ยกเว้น นายอับริก สหมานกูด) ถูกออกหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) หลายคดี เช่น คดีลอบวางระเบิดบริเวณตลาดนัดนิคมเทพา ต.เทพา อ.เทพา จ.สงขลา เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2554 มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 16 ราย ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ พ่อค้าแม่ค้า นอกจากนั้นยังมีคดียิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยิงชาวบ้าน เผาโรงเรียน ตัดต้นไม้ขวางถนน รวมทั้งหมด 9 คดี มีผู้เสียหายรวม 28 ราย ส่วนนายอับริก สหมานกูด ถูกออกหมายจับในข้อหายุยงปลุกปั่นให้ผู้อื่นกระทำความผิด
ฉะนั้นในวันพุธที่ 25 ม.ค.จะมีการพูดคุยกันระหว่างกลุ่มผู้เสียหายกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะเมื่อผู้ต้องหาทั้ง 4 คนตัดสินใจเข้ากระบวนการตามมาตรา 21 พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ทางราชการก็ได้จ่ายค่าชดเชยเยียวยาให้กับผู้เสียหายไปหมดแล้ว และให้ผู้เสียหายลงนามยินยอมไม่เอาความ เพราะถือว่าผู้ต้องหากลับใจและจะเข้ารับการอบรมแทนการถูกฟ้องคดี แต่เมื่อผู้ต้องหาทั้ง 4 คนกลับลำในขั้นตอนนี้ ซึ่งเป็นขั้นตอนเกือบสุดท้ายคือให้ศาลสั่งเข้าอบรม แต่ไม่ยอมเข้ารับการอบรม ก็คาดว่าผู้ต้องสงสัยจะรวมตัวกันยื่นฟ้องต่อไป
รับสูญเงินเยียวยาร่วมล้าน-ยันไม่มีซ้อมทรมาน
"การดำเนินการเรื่องนี้ หน่วยงานความมั่นคงสูญเงินไปนับล้านบาท เฉพาะเงินเยียวยาผู้เสียหายที่เป็นค่าเล่าเรียนบุตร ค่าส่งเสริมอาชีพ ก็รายละ 4-5 หมื่นบาท รวมทั้งหมดประมาณ 8 แสนบาทแล้ว นอกจากนั้นยังมีค่าใช้จ่ายในเรื่องการดูแลและบันทึกวิดีโอกรรมวิธีทุกขั้นตอนของมาตรา 21 ด้วย เมื่อผู้ต้องหามากลับลำเช่นนี้ ก็ถือว่าสร้างความเสียหาย" พ.ท.สมพิศ กล่าว
ส่วนที่ผู้ต้องหาอ้างว่าถูกซ้อมทรมานเพื่อบังคับให้เข้าร่วมกระบวนการตามมาตรา 21 นั้น พ.ท.สมพิศ กล่าวว่า ไม่มีใครไปซ้อม เพราะทุกขั้นตอนมีคณะกรรมการเป็นผู้ดำเนินการ และตลอดกรรมวิธีก็มีญาติของผู้ต้องหา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อิหม่าม นายอำเภอ และอีกหลายภาคส่วนเข้าร่วมสังเกตการณ์ ยืนยันได้ว่าทั้งหมดสมัครใจเข้ากระบวนการตามมาตรา 21 เองตั้งแต่แรก แล้วมาเปลี่ยนใจภายหลัง
4 ผู้ต้องหาปฏิเสธซ้ำ-อัยการนัดส่งฟ้องเดือน มี.ค.
ด้านบรรยากาศที่ศาลจังหวัดนาทวี เมื่อวันจันทร์ที่ 23 ม.ค.นั้น นายสิทธิพงษ์ จันทรวิโรจน์ ประธานมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม ซึ่งรับเป็นทนายให้ 4 ผู้ต้องหา กล่าวว่า ศาลได้ถามผู้ต้องหาทีละคนว่าจะเข้ารับอบรมตามมาตรา 21 แห่ง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯหรือไม่ ปรากฏว่าทุกคนตอบปฏิเสธว่าไม่ประสงค์เข้ารับการอบรม จากนั้นศาลถามพนักงานอัยการว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป พนักงานอัยการยืนยันว่าให้คงคำร้องไว้เหมือนเดิม แต่ศาลเห็นว่าการเข้ารับการอบรมตามมาตรา 21 ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้ต้องหาว่าจะเข้ากระบวนการหรือไม่ เมื่อกรณีนี้ผู้ต้องหาไม่สมัครใจ ศาลจึงไม่มีอำนาจไต่สวนต่อ จึงมีคำสั่งยกคำร้องและจำหน่ายคดี
หลังจากนั้น พนักงานอัยการได้ขอให้ศาลมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการตาม ป.วิอาญา เนื่องจากทั้งหมดมีหมายจับ แต่ทางจำเลยขอคัดค้านเนื่องจากอำนาจการควรคุมตัวของพนักงานสอบสวนหมดไปแล้ว
"แม้ผู้ต้องหาทั้งหมดจะต้องไปพบพนักงานอัยการเพื่อฟังคำสั่งฟ้องคดี แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปพร้อมกับพนักงานสอบสวน เพราะอำนาจการควบคุมตัวหมดไปแล้ว (ตามกฎหมายให้อำนาจคุมตัวช่วงผัดฟ้องฝากขังรวม 84 วันหลังจากได้ตัวผู้ต้องหา) เมื่อผู้ต้องหาไม่ยอมไปกับพนักงานสอบสวนก็ถือเป็นสิทธิ แต่ในขณะที่ผู้ต้องหาและทนายกำลังเดินออกจากศาล ปรากฏว่ามีตำรวจมาคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 คนขึ้นรถตู้พาไปพบพนักงานอัยการ ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในบริเวณศาล การใช้วิธีอย่างนี้จะทำให้กระบวนการตามมาตรา 21 ยิ่งยากขึ้น" ทนายสิทธิพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ พนักงานอัยการได้นัดผู้ต้องหาทั้ง 4 คนเพื่อส่งฟ้องต่อศาลในวันที่ 5 และ 6 มี.ค.2555 จากนั้นได้ปล่อยตัวผู้ต้องหา เนื่องจากไม่มีอำนาจควบคุมตัว
เปิด 6 ขั้นตอนก่อนเข้าอบรมตาม ม.21
กระบวนการตามมาตรา 21 แห่ง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ บัญญัติไว้ในกฎหมายว่า เมื่อปรากฏว่าบุคคลใดต้องหาว่าได้กระทำความผิดอันมีผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด แต่ผู้นั้นกลับใจเข้ามอบตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนแล้วปรากฏว่าบุคคลนั้นได้กระทำไปเพราะหลงผิดหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และการเปิดโอกาสให้บุคคลนั้นกลับตัวจะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนรายงานการสอบสวนและความเห็นไปให้ ผอ.รมน. (ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในที่นี้หมายถึง ผอ.รมน.ภาค 4 คือ แม่ทัพภาคที่ 4)
เมื่อ ผอ.รมน.เห็นด้วยกับความเห็นของพนักงานสอบสวน และตรงกับเงื่อนไขข้างต้นครบถ้วน ให้ ผอ.รมน.ส่งบันทึกสำนวนพร้อมความเห็นไปยังพนักงานอัยการ จากนั้นพนักงานอัยการต้องยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งให้ส่งตัวผู้ต้องหาฯให้ ผอ.รมน.เพื่อเข้ารับการอบรม ซึ่งหากผู้ต้องหาฯยินยอม ศาลจะสั่งให้ส่งผู้ต้องหาฯนั้นให้ ผอ.รมน.เพื่อเข้ารับการอบรมเป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือน รวมทั้งปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่นๆ ที่ศาลกำหนด และสิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องกับผู้ต้องหาฯจะเป็นอันระงับไป
สรุปง่ายๆ ว่ากระบวนการตามมาตรา 21 นั้นมี 6 ขั้นตอน กล่าวคือ
1.ผู้ต้องหากลับใจเข้ามอบตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนแล้วปรากฏว่าบุคคลนั้นได้กระทำไปเพราะหลงผิดหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และการเปิดโอกาสให้บุคคลนั้นกลับตัวจะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
2.พนักงานสอบสวนส่งสำนวนรายงานการสอบสวนและความเห็นไปให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน. - เฉพาะกรณีจังหวัดชายแดนภาคใต้ หมายถึง ผอ.รมน.ภาค 4 ซึ่งก็คือแม่ทัพภาคที่ 4)
3.เมื่อ ผอ.รมน.เห็นด้วยกับความเห็นของพนักงานสอบสวน และตรงกับเงื่อนไขข้างต้นครบถ้วน ให้ ผอ.รมน.ส่งบันทึกสำนวนพร้อมความเห็นไปยังพนักงานอัยการ
4.พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งให้ส่งตัวผู้ต้องหา (ว่าได้กระทำความผิดอันมีผลกระทบต่อความมั่นคง) ให้ ผอ.รมน.เพื่อเข้ารับการอบรม
5.หากผู้ต้องหายินยอมเข้ารับการอบรมและปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่นๆ และศาลเห็นสมควร ศาลจะสั่งให้ส่งผู้ต้องหานั้นให้ ผอ.รมน.เพื่อเข้ารับการอบรมเป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือน รวมทั้งปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่นๆ ที่ศาลกำหนด
6.เมื่อผู้ถูกกล่าวหาได้เข้ารับการอบรม รวมทั้งปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่นๆ ที่ศาลกำหนดเสร็จสิ้น ผลคือสิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องผู้ต้องหาเป็นอันระงับไป
จะเห็นได้ว่าผู้ต้องหา 4 รายที่ขึ้นศาลจังหวัดนาทวี อยู่ในกระบวนการขั้นที่ 5 ก่อนปฏิเสธเข้ารับการอบรมเป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือน
ทั้งนี้ รัฐบาลชุดที่แล้วซึ่งมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ตั้งแต่ปลายปี 2553 และได้ขยายเวลาประกาศไปแล้ว 1 ครั้ง โดยผู้ต้องหาฯทั้ง 4 รายนับเป็นผู้ต้องหาฯชุดแรกที่จะเข้าสู่กระบวนการอบรมแทนการฟ้องคดีอาญา ซึ่งรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงตั้งเป้าเอาไว้ว่า หากกระบวนการนี้ประสบความสำเร็จจะเป็นช่องทางให้ยกเลิกการใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป แล้วประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯแทน
ยิงถล่มผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านดับพร้อม ชรบ.
ด้านสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ยังคงมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 23.45 น.วันอาทิตย์ที่ 22 ม.ค.2555 ร.ต.ต.แสงสิทธิ์ สมโรจน์รัตน์ พนักงานสอบสวน สภ.ท่าธง อ.รามัน จ.ยะลา รับแจ้งเหตุมีคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงถล่มรถกระบะเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย เหตุเกิดที่บ้านเจาะกาแต หมู่ 7 ต.ท่าธง จึงรีบนำกำลังรุดไปตรวจสอบ
ในที่เกิดเหตุพบรถกระบะยี่ห้อมาสด้า สีขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เสียหลักตกไปอยู่ในคูข้างทาง ตัวถังรถด้านคนขับเป็นรูพรุน กระจกหลังแตก ภายในรถพบศพ นายมะโซ๊ะ วาเต๊ะ อายุ 55 ปี เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านเจาะกาแต หมู่ 7 และนายอาแว จูเยาะ อายุ 45 ปี เป็นชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) มีปลอกกระสุนปืนอาก้าและเอ็ม 16 กระจายเกลื่อน จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ นายมะโซ๊ะซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ และนายอาแว ชรบ. ได้นั่งรถไปทำธุระด้วยกัน แต่ระหว่างทางมีคนร้าย 4 คนขี่รถจักรยานยนต์ 2 คันตามประกบ เมื่อสบโอกาสคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายได้ใช้อาวุธสงครามทั้งเอ็ม 16 และอาก้ายิงถล่มจนทั้งคู่เสียชีวิต รถเสียหลักตกลงไปในคูน้ำข้างทาง เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ แต่ก็ยังไม่ตัดทิ้งชนวนสังหารอื่นๆ
ช่วงเวลาใกล้เคียงกัน คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิด และขนาดยิง นายอารีฟ โต๊ะโพ อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 60 ซอย 2 ถนนจารูพัฒนา ต.สะเตง อ.เมือง จ.ยะลา กระสุนปืนถูกบริเวณใบหน้าได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา เหตุเกิดขณะที่นายอารีฟกำลังขี่รถจักรยานยนต์อยู่บนถนนในหมู่บ้าน บ้านปรามะ หมู่ 13 ต.สะเตงนอก อ.เมืองยะลา เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : เหตุระเบิดมอเตอร์ไซค์บอมบ์ที่บริเวณตลาดนัดนิคมเทพา อ.เทพา จ.สงขลา เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2554 ซึ่งฝ่ายความมั่นคงอ้างว่าเป็นการกระทำของผู้ต้องหาชุดแรกที่ขอเข้ากระบวนการตามมาตรา 21 แล้วปฏิเสธรับการอบรมในภายหลัง
ขอบคุณ : ภาพจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ www.bangkokbiznews.com (ภาพผ่านการปรับแต่งโดยฝ่ายศิลป์ ทีมข่าวอิศรา)
อ่านประกอบ :
- เทียบเหตุผล "ทหาร-มูลนิธิผสานวัฒนธรรม" ปม 4 ผู้ต้องหากลับลำ เมินอบรมตาม ม.21
- นิรโทษป่วนใต้สะดุด 4 ผู้ต้องหาฯอ้างถูกซ้อม เมินเข้าอบรมตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
- "ไอซีเจ" ชำแหละ ม.21 "ลิดรอนสิทธิ ตัดสินล่วงหน้า" กังขาเว้นโทษความผิดร้ายแรง
http://www.isranews.org/south-news/Academic-arena/item/1935-qq-21-q-q.html
- เสียงจาก "กลุ่มเป้าหมาย"...ไม่มั่นใจกระบวนการมาตรา 21 พ.ร.บ.ความมั่นคง
http://www.isranews.org/south-news/Academic-arena/item/1936-qq-21.html