จ่อสรุปผลสอบ "4 ศพ" ส่อไม่ชี้ใครผิด - 8 ปีอุ้มสมชาย นีละไพจิตร กับความว่างเปล่า
คณะกรรมการอิสระฯจ่อสรุปผลสอบกรณี 4 ศพปัตตานี เผยอาจเป็นแค่รายงานข้อเท็จจริงใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร พร้อม 8 ข้อเสนอแนะ แต่ไม่ชี้ใครถูก-ผิด ด้านคดีอุ้มทนายสมชาย นีละไพจิตร ผ่านมา 8 ปีไร้ความคืบหน้า ระบุเป็นความล้มเหลวของดีเอสไอและกระบวนการยุติธรรม ขณะที่สถานการณ์ใต้ยังระอุ เผาสำนักงาน อบต.ระแว้ง ส่วนที่รามันปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ทำทีเยี่ยมจุดตรวจ จับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน - อส.มัดมือจ่อยิงปืน
มีความคืบหน้าการทำงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีทหารพรานกองร้อย 4302 ยิงรถกระบะต้องสงสัยในท้องที่ ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี จนมีประชาชนเสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บอีก 4 ราย เหตุเกิดเมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ 29 ม.ค.2555 ภายหลังทหารพรานถูกคนร้ายยิงถล่มฐานและจัดกำลังออกติดตามไล่ล่ามือยิง
นายประสิทธิ์ เมฆสุวรรณ ประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้ ในฐานะหนึ่งในกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี 4 ศพ เปิดเผย "ทีมข่าวอิศรา" ว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ปากคำเป็นนัดสุดท้าย โดยเป็นเจ้าหน้าที่กองศูนย์พิสูจน์หลักฐานที่เข้าเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ ซึ่งผลที่ได้ยังไม่ใช่ข้อสรุปของคณะกรรมการฯ
"หลังการประชุมได้มอบหมายให้ประธาน (นายแวดือราแม มะมิงจิ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ในฐานะประธานคณะกรรมการอิสระฯ) และเลขานุการไปสรุปและจัดทำรายงานเพื่อเสนอต่อ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ต่อไป"
นายประสิทธิ์ กล่าวต่อว่า รายงานที่จะจัดทำเป็นรูปเล่ม นอกจากอธิบายถึงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ยังมีข้อเรียกร้องและข้อเสนอแนะรวม 8 ข้อ เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำรอยอีก เช่น การวางมาตรการเรื่องการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่เพื่อลดปัญหาการตัดสินใจอย่างวู่วามจนก่อความสูญเสียตามมา หรือเรื่องการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ เป็นต้น หลังจากนั้นแม่ทัพจะเป็นคนแถลงผลการตรวจสอบทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผลสอบน่าจะสรุปไปในทิศทางใด นายประสิทธิ์ กล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่บอกสังคมว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น ส่วนใครผิดใครถูกจะเป็นเรื่องของศาล ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถนำรายงานกลับมาขอมติจากที่ประชุมและเสนอรายงานถึงมือแม่ทัพได้ในเร็ววันนี้
8 ปีอุ้มทนายสมชาย-ความล่มสลายของกระบวนการ ยธ.
วันจันทร์ที่ 12 มี.ค.2555 เป็นวันครบรอบ 8 ปีการหายตัวไปของ นายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ทางมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพซึ่งมี นางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของทนายสมชายเป็นประธาน จึงได้ออกแถลงการณ์หัวข้อ "8 ปีการบังคับสูญหายนายสมชาย นีละไพจิตร: ความไร้ประสิทธิภาพของกรมสอบสวนคดีพิเศษและกระบวนการยุติธรรมไทย"
แถลงการณ์ระบุว่า ในวาระครบรอบ 8 ปีการบังคับสูญหายนายสมชาย ทนายความนักสิทธิมนุษยชนที่ให้ความช่วยเหลือทางคดีแก่ผู้ต้องหาคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้ที่ผ่านมารัฐบาลทุกรัฐบาลจะแสดงความตั้งใจในการให้ความสำคัญคลี่คลายคดีการบังคับสูญหายนายสมชาย แต่ก็ยังไม่ปรากฏว่าคดีจะมีความก้าวหน้า
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 มี.ค.2554 ศาลอุทธรณ์ได้อ่านคำพิพากษายกฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 5 นายจากความผิดฐานกักขังหน่วงเหนี่ยว และความผิดต่อเสรีภาพ อีกทั้งยังตัดสิทธิของครอบครัวในการเข้าเป็นโจทก์ร่วม ซึ่งการพิพากษาคดีในครั้งนั้นถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งมิใช่เพียงแต่ต่อคดีนายสมชาย หากแต่ยังส่งผลต่อประเด็นเรื่องความยุติธรรม สิทธิมนุษยชน และหลักนิติธรรมของประเทศไทยด้วย เพราะคดีนี้ถือเป็นคดีสาธารณะที่ผู้รักความเป็นธรรม รวมถึงองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและระหว่างประเทศให้ความสนใจและติดตามอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีการลักพาตัวและบังคับสูญหายที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งนอกจากจำเลยที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 นายที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีแล้ว ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องในข้อหาดังกล่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่อีกหลายนายซึ่งรัฐยังไม่สามารถนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้
ผลของคดีนี้แสดงให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมไทยในการนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ รวมทั้งความไร้ประสิทธิภาพในการคุ้มครองพยาน การไม่มีกฎหมายที่เพียงพอและจำเป็น อีกทั้งยังแสดงถึงความจงใจในการปกป้องเจ้าหน้าที่โดยการที่พยานหลักฐานสำคัญถูกทำลายและไม่ปรากฏในเอกสารที่นำส่งศาล และแม้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะรับคดีนายสมชายเป็นคดีพิเศษ แต่จนถึงปัจจุบันนับเป็นเวลา 7 ปี กลับพบว่าไม่มีความก้าวหน้าทางคดี การทำงานที่ล่าช้าและความไม่เต็มใจในการทำคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษทำให้พยานหลายคนถูกคุกคาม และไม่มีความมั่นใจในการให้การเป็นพยาน
แม้รัฐบาลปัจจุบันจะแสดงเจตจำนงในการคุ้มครองมิให้บุคคลสูญหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยการร่วมลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลทุกคนถูกบังคับให้สูญหายขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เมื่อวันที่ 9 ก.พ.2555 หากแต่การที่ยังไม่มีการปรับแก้กฎหมายภายในให้การบังคับสูญหายเป็นอาชญากรรม จึงทำให้ความหวังของครอบครัวในการเข้าถึงความจริง ความยุติธรรม และการได้รับการชดเชยจากรัฐไม่อาจเกิดขึ้นได้
ยิงหนุ่มนราฯสาหัสขณะยืนรอรถกลับบ้าน
ด้านสถานการณ์ความไม่สงบตลอดวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นบ้างประปราย หลังเกิดเหตุร้ายใหญ่ๆ หลายเหตุการณ์ช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 มี.ค.เวลา 15.00 น.คนร้ายไม่ทราบจำนวนมีรถกระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นไทรทันสี่ประตู สีขาว ป้ายทะเบียนแดงหมายเลข 999 ไม่ทราบจังหวัดเป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนพกขนาด 11 มม.ยิง นายพงษ์ศักดิ์ ดือเร๊ะ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 31 หมู่ 2 ต.บางนาค อ.เมือง จ.นราธิวาส ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดขณะนายพงษ์ศักดิ์กำลังยืนรอรถโดยสารประจำทางอยู่ริมถนนสาย 4084 (ตากใบ-นราธิวาส) ท้องที่บ้านศาลาเชือก หมู่ 6 ต.ศาลาใหม่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เพื่อกลับบ้าน เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการลอบยิง แต่ให้น้ำหนักไปที่ความขัดแย้งส่วนตัว
เพลิงไหม้ อบต.ระแว้งวอด – ดับ ส.อบต.ปล่องหอย
เวลา 20.10 น.วันเดียวกัน เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารปูนชั้นเดียว ซึ่งเป็นสำนักงานขององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ระแว้ง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ทำให้อาคารเสียหายทั้งหลัง แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากขณะเกิดเหตุไม่มีใครอยู่ในสำนักงาน เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันเสาร์ที่ 10 มี.ค.เวลา 09.30 น. คนร้ายประมาณ 4-5 คนมีรถยนต์เก๋งสีดำไม่ทราบยี่ห้อและหมายเลขทะเบียนเป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 และปืนพกขนาด 9 มม.ยิง นายดอเลาะ เต็งลา อายุ 50 ปี สมาชิก อบต.ปล่องหอย อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี อยู่บ้านเลขที่ 65/2 บ้านโลทู หมู่ 6 ต.ปล่องหอย จนเสียชีวิต เหตุเกิดขณะนายดอเลาะกำลังนั่งอยู่หน้าบ้านเพื่อน เลขที่ 58 หมู่ 6 ต.โลทู หลังก่อเหตุคนร้ายยังชิงปืนพกขนาด 9 มม. อาวุธปืนเอ็ม 16 เอ 2 ในความครอบครองของนายดอเลาะ จำนวน 1 กระบอก และปืนอัดลมไปด้วย จากนั้นจึงหลบหนีไป เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร แต่ให้น้ำหนักไปที่ความขัดแย้งการเมืองท้องถิ่น
ปาระเบิดถล่มบ้านชาวบ้านที่ยี่งอ
เวลา 09.50 น.วันเดียวกัน คนร้ายประมาณ 3 คนมีรถกระบะสีดำเป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนลูกซองยิง นายอัสฮา ตาเย๊ะ อายุ 29 ปี อาชีพรับซื้อน้ำยาง อยู่บ้านเลขที่ 102/1 บ้านปูลาไซร์ หมู่ 8 ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส จนเสียชีวิต เหตุเกิดขณะนายอัสฮาจอดรถกระบะรับซื้อน้ำยางบริเวณขนำริมทาง ริมทางหลวงหมายเลข 2007 บ้านคอลอแว หมู่ 6 ต.ยี่งอ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร
เวลา 12.50 น.คนร้ายจำนวน 2 คน แต่งกายชุดดาวะห์ มีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้ระเบิดแบบแสวงเครื่องขว้างเข้าใส่บ้านเรือนราษฎร ซึ่งเป็นบ้านของ นายสุทัศน์ นกเขา อายุ 45 ปี เลขที่ 48/1 บ้านทุ่งคา หมู่ 8 ต.ละหาร อ.ยี่งอ โชคดีไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ หลังก่อเหตุคนร้ายได้ขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไปทางบ้านมะนังตายอ อ.เมืองนราธิวาส เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
เวลา 15.45 น.คนร้ายจำนวน 2 คนมีรถกระบะเป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนลูกซองประกบยิง นายหม๊ะรอเฮะดี มะลี อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2/4 หมู่ 1 ต.ธารคีรี อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดขณะนายหม๊ะรอเฮะดีขับรถกระบะอยู่บนทางหลวงสาย4085 บ้านตร๊าย หมู่ 2 ต.จะแหน อ.สะบ้าย้อย เพื่อมุ่หน้ากลับบ้าน โดยมี น.ส.ฟาตีเม๊าะ อีแต อายุ 22 ปีนั่งมาด้วย เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการลอบยิง แต่ให้น้ำหนักไปที่เรื่องส่วนตัว
ปลอมเป็น จนท.จับมัด อส.-ผู้ช่วย ผญบ.ยิงทิ้งชิงปืน
วันศุกร์ที่ 9 มี.ค. พ.ต.ท.เตียน ทองสมสี พนักงานสอบสวน (สบ.3) สภ.รามัน จ.ยะลา รับแจ้งเหตมีคนร้ายนับสิบคนบุกเข้าไปจับตัวผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และอาสารักษาดินแดน (อส.) จ่อยิงศีรษะแลวชิงเอาอาวุธปืไป เหตุเกิดที่ป้อม อส. ต.กาลอ หมู่ 3 ต.กาลอ อ.รามัน จ.ยะลา จึงรีบนำกำลังรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วย พล.ต.ต.พีระ บุญเลี้ยง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา ฝ่ายปกครอง และทหาร
ทั้งนี้ ป้อม อส.ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณทางโค้งใกล้สามแยก ภายในป้อมพบศพ นายมาหะมะ ตงนุใย อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 43 หมู่ 4 ต.กาลอ เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ และ อส.อิสตามา สะเตาะ อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 40 หมู่ 2 ต.กาลอ ทั้งคู่ถูกยิงด้วยอาวุธปืนเอ็ม 16 เข้าที่ศีรษะ ส่วนมือและเท้าถูกมัดไพล่หลังด้วยสายรัดพลาสติก ภายในป้อมยังพบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ตกอยู่รวม 10 ปลอก นอกจากนั้นยังพบว่าหลังก่อเหตุคนร้ายได้ชิงอาวุธปืนเอชเค 1 กระบอก อาก้า 1 กระบอก ปืนลูกซองชนิดออโต้ 1 กระบอก และอาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 มม.อีก 3 กระบอก รวมเป็น 6 กระบอก หลบหนีไปด้วย
สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุขณะที่ นายมาหะมะ ตงนุใย พร้อม อส.อิสตามา สะเตาะ กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในป้อมเพียง 2 นาย มีคนร้ายคาดว่าไม่ต่ำกว่า 10 คนมีรถยนต์ 3 คันเป็นพาหนะ เป็นรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีวิคสีดำ รถกระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นสตราด้า สีดำ และรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแม็กซ์ สีฟ้า ไม่ทราบหมายเลขทะเบียนทั้ง 3 คันแล่นตามกันมาและจอดบริเวณหน้าป้อม จากนั้นคนร้ายจำนวน 2 คน แต่งกายด้วยชุดสีเขียว มีผ้าพันคอสีแดง คล้ายชุดฝึกของตำรวจ ได้กระโดดลงจากกระบะท้ายแล้วเดินเข้าไปในป้อม
ทั้งนี้ด้วยลักษณะของคนร้ายซึ่งคล้ายคลึงกับเจ้าหน้าที่ ทำให้ นายมาหะมะ กับ อส.อิสตามา ไม่ทันระวังตัว จึงถูกคนร้ายกรูเข้าจับมัดมือและเท้า แล้วจ่อยิงศีรษะด้วยอาวุธปืนเอ็ม 16 จนเสียชีวิตทั้งคู่ จากนั้นได้ชิงอาวุธปืน 6 กระบอก แล้วขับรถแยกย้ายกันหลบหนีไป พร้อมโปรยตะปูเรือใบสกัดการไล่ติดตามของเจ้าหน้าที่ด้วย เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : ตะปูเรือใบจำนวนมากที่คนร้ายโปรยไว้บนถนนสกัดการไล่ล่าติดตามของเจ้าหน้าที่ ภายหลังก่อเหตุยิง อส.และผู้ใหญ่บ้านในป้อมจุดตรวจในท้องที่ ต.กาลอ อ.รามัน จ.ยะลา เมื่อวันศุกร์ที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา (ภาพโดย อะหมัด รามันห์สิริวงศ์)