ส่อวุ่น! ญาติ3เหยื่อวิสามัญฯร้องไม่ใช่โจร ศาลยกฟ้อง 5 จำเลยฆ่าตำรวจปัตตานี
สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนและกระบวนการยุติธรรมในจังหวัดชายแดนใต้ยังคงมีปัญหา "ทีมข่าวอิศรา" ประมวลความเคลื่อนไหวหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจในห้วงที่ผ่านมา...มานำเสนอ
ญาติเหยื่อวิสามัญฯ 5 ศพกรงปินังร้อง "ไม่ใช่โจร"
เมื่อวันพุธที่ 2 พ.ค.2555 ที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) อ.เมือง จ.ยะลา นายสาโรจน์ มะมิง ประธานมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม จ.ยะลา พร้อมด้วย น.ส.มารีแย บือซา และ นายอับดุลมาเละ ยูโซ๊ะ ได้เข้ายื่นหนังสือกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอ.บต. เพื่อขอความเป็นธรรมกรณี นายซับรี ดือราแม นายลุกมัน ดือราแม และนายอิสมาแอ แปเตาะ ถูกเจ้าหน้าที่ยิงเสียชีวิต (วิสามัญฆาตกรรม) เมื่อวันที่ 19 เม.ย. ในพื้นที่ อ.กรงปินัง จ.ยะลา โดยเป็นการถูกวิสามัญฆาตกรรมพร้อมบุคคลอื่นรวม 5 ศพ
ทั้งนี้ นายสาโรจน์ พร้อมด้วย น.ส.มารีแย และ นายอับดุลมาเละ ในฐานะครอบครัวของผู้เสียชีวิต ได้ขอให้ ศอ.บต.ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบกรณีที่เกิดขึ้น เนื่องจากครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 3 รายเชื่อว่าทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อความไม่สงบตามที่มีการนำเสนอข่าว ทว่าในวันที่เกิดเหตุได้เข้าไปดักนกใกล้ๆ กับจุดที่กลุ่มเจ้าหน้าที่เข้าปิดล้อมตรวจค้น ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ยิงเสียชีวิต
พ.ต.อ.ทวี ได้รับเรื่องเอาไว้ พร้อมส่งต่อให้กองงานยุติธรรมนำไปดำเนินการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
สำหรับเหตุการณ์วิสามัญฆาตกรรมดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 เม.ย.2555 โดยเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ได้สนธิกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายในเขตรอยต่อหมู่ 3 และหมู่ 6 บ้านตะโล๊ะสะโตร์ ต.สะเอะ อ.กรงปินัง จ.ยะลา ภายหลังสืบทราบว่ากองกำลังติดอาวุธกลุ่มของ นายฮูไบดีละห์ รอมือลี แกนนำที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ อ.ยะหา จ.ยะลา จำนวนกว่า 10 คน ได้เข้าไปกบดานเตรียมก่อเหตุรุนแรง
ผลของการปิดล้อมทำให้เกิดการยิงปะทะจนมีผู้ต้องสงสัยเสียชีวิต 5 ราย ประกอบด้วย นายสะกือรี จะปะกียา อายุ 38 ปี นายลุกมัน ดือราแม อายุ 20 ปี นายซับรี ดือราแม อายุ 18 ปี นายอิสมาแอ แปเตาะ อายุ 17 ปี และนายตัซกีรี ยะยอ อายุ 23 ปี พร้อมยึดปืนและเครื่องกระสุนได้จำนวนหนึ่ง หลังเกิดเหตุมีรายงานจากฝ่ายความมั่นคงว่า นายสะกือรี เป็นแกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบ ถูกออกหมายจับในคดีความมั่นคง 7 หมาย ส่วนคนอื่นๆ ไม่มีรายงานว่ามีประวัติถูกออกหมายจับ
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันจันทร์ที่ 30 เม.ย. ที่มัสยิดดารุลนาอิม บ้านอุเบ็ง หมู่ 4 ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา กรมทหารพรานที่ 47 ได้จัดกิจกรรมดื่มน้ำชาเพื่อพบปะเยียวยาด้านจิตใจแก่เครือญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์วิสามัญฯ 5 ศพดังกล่าว โดย 2 ใน 5 ของผู้เสียชีวิตเป็นชาวบ้านอุเบ็ง คือ นายสะกือรี จะปะกียา อายุ 38 ปี และ นายตัซกีรี ยะยอ หรือ นายสูเปียน อายุ 23 ปี ซึ่งในงานดังกล่าว เจ้าหน้าที่ยอมรับว่านายตัซกีรีไม่มีหมายจับในคดีความมั่นคง มีเพียงนายสะกือรีเท่านั้นที่มีหมายจับ 7 หมาย
พล.ต.ประตินันท์ สายหัสดี ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจยะลา กล่าวว่า ได้ชี้แจงให้ชาวบ้านในหมู่บ้านและญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คนเข้าใจว่า การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหารนั้น เพื่อดูแลความปลอดภัยในชีวิตละทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่รับผิดชอบ จึงต้องกันบุคคลที่จะก่อเหตุร้ายออกจากประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่ให้สร้างผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชนได้
ศาลยะลารับฟ้องคดีกล่าวหา จนท.ละเมิด "ยิง-กล่าวหาเป็นโจร"
วันจันทร์ที่ 30 เม.ย.เช่นกัน ศาลจังหวัดยะลาได้นัดไต่สวนคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ในคดีหมายเลขดำที่ 190/2554 ระหว่าง นางอูงุง กูโน โจทก์ที่ 1 ด.ช.อับดุลเล๊าะห์ มะสีละ โจทก์ที่ 2 และ ด.ญ.วิลดาน มะสีละ โจทก์ที่ 3 ที่ได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางละเมิดตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ต่อสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม กองทัพบก เป็นจำเลยที่ 1-3 กรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารในสังกัดกระทำละเมิดใช้อาวุธปืนยิงทำให้ นายอาหะมะ มะสีละ ถึงแก่ความตาย ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ออกลาดตระเวนเมื่อวันที่ 27 ก.ค.2553 และเผยแพร่ข่าวว่านายอาหามะเป็นสมาชิกกลุ่มก่อความไม่สงบ แต่ญาติยืนยันว่าผู้ตายไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ศาลไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสามได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีโดยได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล และมีคำสั่งรับฟ้อง โดยศาลได้นัดพร้อมคู่ความทั้งสองฝ่ายในวันที่ 16 ก.ค.2555 เวลา 09.00 น.
ยกฟ้อง 5 จำเลยคดีฆ่าตำรวจ-เป็นสมาชิกเบอร์ซาตู
วันเดียวกัน ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.1021/2548 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายมุสตอปา เจ๊ะยะ นายอิลยาส หรืออิสยาส มันหวัง นายอุสมาน ปะชี นายยูไล โสะปนแอ และ นายมะอาซี บุญพล ซึ่งถูกกล่าวหาเป็นสมาชิกขบวนการเบอร์ซาตู ในกลุ่มบีอาร์เอ็น โคออร์ดิเนต เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันก่อการร้าย
คำฟ้องโจทก์สรุปว่า ระหว่างเดือน พ.ย.-29 ธ.ค.2547 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ ในเขตพื้นที่ จ.ปัตตานี เพื่อแบ่งแยกดินแดน โดยใช้อาวุธปืนฆ่าเจ้าพนักงานพนักงานตำรวจเพื่อสร้างความปั่นป่วนและก่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน โดยมุ่งหมายเพื่อบังคับขู่เข็ญรัฐบาลไทยให้ยินยอมแบ่งแยกดินแดนใน จ.ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และบางส่วนของ จ.สงขลา ออกจากราชอาณาจักร เพื่อสถาปนาเป็นรัฐอิสระปกครองตนเอง เรียกว่ารัฐปัตตานี หรือรัฐปัตตานีดารุสสาลาม
โดยเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2547 จำเลยทั้งห้าร่วมกันวางแผนและใช้อาวุธปืนยิง ด.ต.โมหามัด เบญญากาจ ถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เหตุเกิดที่ ต.บานา สะบารัง และตะลุโบะ อ.เมืองปัตตานี ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดโทรศัพท์มือถือและซิมการ์ดที่จำเลยทั้งห้าใช้ติดต่อสื่อสารไว้เป็นของกลางได้ จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์แล้ว มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันฆ่าผู้ตายหรือไม่ เห็นว่าโจทก์มีเพียงพยานที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานสอบสวนเบิกความถึงการแบ่งหน้าที่กันทำของพวกจำเลย โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดที่ยืนยันบ่งชี้ให้ชัดเจนว่าใครเป็นคนร้ายยิงผู้ตาย มีเพียงคำรับสารภาพของจำเลยทั้งห้าที่เขียนด้วยลายมือตนเอง แม้โจทก์จะมี นายชาลี กระแสร์ ทนายความยืนยันว่าจำเลยให้การด้วยความสมัครใจ ไม่มีการข่มขู่ก็ตาม แต่ในชั้นพิจารณาจำเลยทั้งห้าให้การปฎิเสธ อ้างให้การในชั้นสอบสวนโดยไม่สมัครใจ
เมื่อพิจารณาระยะเวลาในช่วงการสอบสวนจำเลยเป็นเวลากลางคืนที่บุคคลทั่วไปต้องการพักผ่อน การที่พนักงานสอบสวนจำเลยในช่วงเวลาดังกล่าวติดต่อกันเป็นเวลาหลายชั่วโมงย่อมทำให้จำเลยทั้งห้าเกิดความเครียดและไม่อยู่ในวิสัยของปุถุชนจะให้การได้อย่างสมบูรณ์ตามที่กฎหมายให้เจ้าพนักงานปฎิบัติต่อจำเลยในการสอบสวน อีกทั้งเจ้าพนักงานไม่สามารถตรวจยึดอาวุธปืนหรือมีประจักษ์พยานเห็นคนร้ายลงมือยิงผู้ตาย พยานหลักฐานเท่าที่นำสืบในคดีที่มีโทษสูงเช่นนี้ โจทก์ต้องมีพยานที่มั่นคงที่รับฟังได้โดยชัดเจนว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำผิด แต่ในคดีนี้พยานหลักฐานดังกล่าวยังไม่อาจยืนยันได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำผิด
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยอีกประการหนึ่งคือ จำเลยทั้งห้าร่วมกันก่อการร้ายหรือไม่ เห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดยืนยันว่าการโทรศัพท์ติดต่อกันของพวกจำเลยเป็นการพูดคุยเพื่อก่อการร้ายหรือกระทำผิดร่วมกัน และเป็นบุคคลที่เข้าร่วมในขบวนการก่อการร้ายสร้างความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ หรือเป็นผู้ร่วมปฎิบัติการยิงผู้ตายเพื่อก่อการร้าย หรือเป็นสมาชิกขบวนการอาร์บีเอ็น นอกจากนี้ยังได้ความจากเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายการข่าวและปลัดอำเภอเมืองปัตตานีเบิกความว่า ไม่ปรากฏชื่อจำเลยทั้งห้าเกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้ายสร้างความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือมีชื่ออยู่ในสารบบผู้ก่อการร้าย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งห้าร่วมกันก่อการร้ายแต่อย่างใด พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งห้า แต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์
องค์กรสิทธิฯแฉ "เด็ก-เยาวชน" ถูกคุมตัวไม่เหมาะสม 30 กรณี
เมื่อวันอังคารที่ 24 เม.ย.เวลา 10.00-12.00 น. ผู้แทนมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และ น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ แกนนำกลุ่มด้วยใจ ในฐานะองค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เข้าชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการชุดที่ 2 ของคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำเสนอสถานการณ์สิทธิมนุษยชน ผลกระทบจากความรุนแรงจากการก่อความไม่สงบ นโยบายด้านการใช้กำลังทหารและฝ่ายความมั่นคงจำนวนมาก นโยบายด้านการเยียวยาและการสร้างกระบวนการเจรจาเพื่อสันติภาพ
ทั้งนี้ มูลนิธิผสานวัฒนธรรมและกลุ่มด้วยใจมีความห่วงใยอย่างยิ่งเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายพิเศษที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนในพื้นที่ พร้อมนำเสนอความเป็นมาและสภาพปัญหาของการบังคับใช้กฎหมายพิเศษ อันได้แก่ พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 (กฎอัยการศึก) และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) มีผลทำให้บุคคลที่เป็นผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับความไม่สงบ รวมไปถึงผู้ต้องสงสัยที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ถูกจับและควบคุมตัวภายใต้กฎหมายพิเศษก่อนเข้าสู่มาตรการขั้นตอนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาปกติ
จากการรวบรวมข้อเท็จจริงในพื้นที่พบว่า ตั้งแต่ปี 2550 ถึงต้นปี 2555 มีอย่างน้อย 30 กรณีที่เด็กถูกบังคับใช้กฎหมายพิเศษ มีการจับและควบคุมตัวโดยมีสภาพการดำเนินการที่ไม่เหมาะสมกับเด็กและไม่สอดคล้องกับวิธีการสำหรับเด็กที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 เช่น การจับและควบคุมตัวโดยมิได้แสดงหมายและเหตุแห่งการจับกุม มีการควบคุมตัวเด็กรวมกับผู้ใหญ่ แม้หลังจากที่มีการร้องเรียน การควบคุมตัวเด็กตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะได้มีการปรับปรุงระเบียบในการแยกสถานที่ควบคุมตัวเด็กออกจากผู้ใหญ่ แต่การควบคุมตัวภายใต้การบังคับใช้กฎอัยการศึกยังไม่มีระเบียบในการกำหนดการแยกสถานที่ควบคุมตัวของเด็ก เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังพบว่ามีกรณีที่เด็กอายุไม่เกิน 18 ปีถูกวิสามัญฆาตกรรมระหว่างการปิดล้อม ตรวจค้น หรือในบางกรณีเจ้าหน้าที่ให้เด็กเข้าร่วมชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) แบบไม่เป็นทางการ ซึ่งถือว่าเป็นการให้เด็กเข้าร่วมกิจกรรมของความขัดแย้งด้วยอาวุธด้วย
ในการนี้ ทั้งมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และกลุ่มด้วยใจ ได้เรียกร้องให้ตัวแทนคณะกรรมาธิการฯ ได้ใช้อำนาจทางนิติบัญญัติดำเนินการให้รัฐบาลทบทวนการประกาศใช้กฎหมายพิเศษในจังหวัดชายแดนใต้ทั้งระบบ ให้มีการอภิปรายอย่างเปิดเผยในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรกรณีการประกาศใช้หรือขยายเวลาการประกาศใช้กฎหมายพิเศษ รวมทั้งมีมาตรการคุ้มครองเด็กและเยาวชนที่เหมาะสมถูกต้องตามกฎหมายด้วย
สำนักนายกฯอุทธรณ์คดีศาลสั่งจ่ายเหยื่อซ้อมในกลุ่มอิหม่ามยะผา
วันพฤหัสบดีที่ 10 เม.ย. สำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ในคดีหมายเลขดำที่ 94/2553 คดีหมายเลขแดงที่ 48/2555 ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น (ศาลปกครองสงขลา) ที่พิพากษาให้สำนักนายกรัฐมนตรีจ่ายค่าเสียหายให้แก่ นายรายู ดอคอ ผู้ฟ้องคดี เป็นเงินทั้งสิ้น 246,621.56 บาท และยกฟ้องกระทรวงกลาโหม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 กองทัพบก ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3
ศาลปกครองสงขลาได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 มี.ค.2555 โดยสั่งให้สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) รับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ นายรายู ดอคอ ผู้ฟ้องคดี ในคดีที่ นายรายู ได้ยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องทั้ง 4 ต่อศาลปกครองสงขลา เรียกค่าเสียหายทางละเมิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ กรณีถูกเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 39 ตั้งค่ายอยู่ที่วัดสวนธรรม อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ร่วมกับตำรวจ สภ.รือเสาะ นำกำลังเข้าปิดล้อม ตรวจค้น จับกุม และควบคุมตัวนายรายู พร้อมกับ อิหม่ามยะผา กาเซ็ง อดีตอิหม่ามประจำมัสยิดบ้านกอตอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส นำตัวไปแถลงข่าวว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ และแถลงว่านายรายูฆ่าผู้อื่นโดยไม่เป็นความจริง ทั้งไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจเจ้าหน้าที่นำตัวประชาชนไปทำการแถลงข่าวดังกล่าว
นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ยังนำตัว นายรายู ไปควบคุมที่ค่ายทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 39 และถูกซ้อมทรมาน จนเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บต่อร่างกายและจิตใจ ขณะที่ อิหม่ามยะผา กาเซ็ง ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19-21 มี.ค.2551
ต่อมา วันพฤหัสบดีที่ 17 เม.ย. ทนายความจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ผู้รับมอบอำนาจของนายรายู ได้ยื่นอุทธรณ์เช่นเดียวกัน เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับศาลปกครองชั้นต้นในประเด็นที่ศาลยกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-3 ให้ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยังได้อุทธรณ์ในประเด็นค่าเสียหายด้วย เนื่องจากเห็นว่าค่าเสียหายยังต่ำเกินไป
สำหรับเหตุการณ์เดียวกัน ในคดี อิหม่ามยะผา กาเซ็ง ภรรยาและบุตรของอิหม่ามยะผาได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง มีการไกล่เกลี่ย และคู่ความประนีประนอมยอมความตกลงกันได้ โดยทางกองทัพบกยินยอมจ่ายเงินค่าเสียหายให้แก่ครอบครัวอิหม่ามยะผา เป็นค่าเสียหายต่อเกียรติยศชื่อเสียงของอิหม่ามยะผาจำนวน 500,000 บาท ค่าปลงศพ 87,000 บาท และค่าขาดไร้อุปการะภรรยาและบุตรรวม 4 คน เป็นเงิน 4,624,000 บาท รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 5,211,000 บาท
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์วิสามัญฆาตกรรม 5 ศพที่ อ.กรงปินัง จ.ยะลา เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อเลขาธิการ ศอ.บต. เมื่อวันพุธที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา